อ่อนล้ากับการปกป้องศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว แต่สำหรับภาคประชาชนที่ทนพฤติการณ์ของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรไม่ไหว ยังต้องเหน็ดเหนื่อยกันต่อไป ในภารกิจติดตามตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณ การบริหารโครงการ และการใช้จ่ายเงินกู้ เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศวงเงิน 3.4 แสนล้านบาท
เพราะโครงการนี้ มีสิ่งบอกเหตุมาเป็นระยะว่า จะโกงกันสะบั้นหั่นแหลก จะมีคนรวยเป็นเศรษฐีใหม่นับร้อยนับพันคน และเส้นทางการโกงก็ถูกเบิกจนกว้างไปแล้ว โดยมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบแก้ไขระเบียบการบริหารโครงการ โดยสามารถประมูลด้วยวิธีพิเศษได้
งบเยียวยาหรือช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยน้ำท่วมปีที่ผ่านมา มีข่าวฉาวโฉ่มาแล้ว แม้ประชาชนจะเดือดร้อนเลือดตาแทบกระเด็น แทบไม่มีอาหารประทังชีวิต แต่กลุ่มคนที่มีจิตใจอำมหิต ก็ยังเบียดบังเงินช่วยเหลือ โกงแม้กระทั่งงบจัดซื้อข้าวกล่องให้ผู้ประสบภัย และแม้จะมีการตีแผ่ประจานความอำมหิต แต่คดีก็เงียบหาย
งบประมาณเพียงไม่กี่สิบล้าน ไม่กี่ร้อยล้าน มันยังโกง งบประมาณ 3.4 แสนล้านบาท มันคงเตรียมวางแผนกันไว้แล้ว ใครจะได้ประมูลโครงการไหน ใครจะโกงกันเท่าไหร่
โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม จึงต้องเฝ้ากันทุกกระเบียดนิ้ว จับตาในทุกความเคลื่อนไหว เกาะติดในทุกโครงการ เพราะมันโกงกันแน่ๆ และโกงกันหน้าด้านๆ เหมือนที่เคยโกงกันเมื่อปีก่อน
เงินจำนวน 3.4 แสนล้านบาท ถือเป็นงบประมาณก้อนมหึมา และสร้างภาระหนักอึ้งให้ประเทศ เพราะจะต้องมียอดหนี้สาธารณะพุ่งขึ้น เนื่องจากเงินงบประมาณยังขาดดุล ต้องกู้มาใช้จัดทำโครงการ
รัฐบาลชุดนี้วางแผนไว้หมดแล้ว เมื่อรู้ว่าไม่มีเงิน จึงดึงคนที่พร้อมจะถูกด่า พร้อมจะรับใช้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเพื่อแลกกับตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาทำหน้าที่เล่นกลในระบบการเงิน โดยเงินงบประมาณที่ไม่สามารถได้ เช่น หนี้ที่ต้องชำระแทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ก็โยนไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ
เงินที่จะนำไปปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ก็ดึงเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยมาปล่อย
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็จ้องหาช่องทางนำมาผลาญกันอยู่ โดยส่งนายวีรพงษ์ รามางกูร เข้ามารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกรุยทาง และประสานความร่วมมือกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีคลัง
ส่วนเงินที่จะใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งสามารถโกงได้ จะใช้วิธีการกู้ และกู้มาเพื่อจะโกงกัน ส่วนภาระหนี้สินที่ก่อขึ้นจากเงินกู้โยนภาระให้ประชาชนทั้งประเทศแบกรับไป
อนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร โจรในคราบนักการเมืองกลุ่มนี้ไม่มีวันตระหนัก คิดเพียงแต่ชั่วโมงนี้กูจะโกง ใครใคร่โกงโกงไป ใครโกงมากก็รวยมาก และไม่ต้องกลัวคุกตาราง เพราะรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่เคยปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
และคงไม่มีวันเอาเรื่องลูกสมุนพี่ชายตัวเอง ไม่เช่นนั้นการทุจริตงบน้ำท่วมกันฉาวโฉ่หลายกรณีเมื่อปีก่อน คงไม่เงียบเหมือนเป่าสาก
ไม่ว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะออกมาค้ำประกันความสุจริตในการใช้งบประมาณอย่างไร ไม่ว่านายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย จะเสียงแข็งยืนยันความโปร่งใสในการดำเนินโครงการอย่างไร ก็ไม่มีใครเชื่อว่า
งบแก้ปัญหาน้ำ 3.4 แสนล้านบาท จะไม่มีโกง แต่เชื่อกันว่า โกงกันแน่ๆ และจะโกงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันเสียด้วย
ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันคิดแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้พวกโจรปล้นงบน้ำท่วมกันอย่างไร เพราะเงินที่โจรกลุ่มนี้เตรียมจะปล้น หมายถึงหนี้สินของประชาชนทุกคนต้องร่วมกันชดใช้ และอาจต้องชดใช้กันชั่วลูกชั่วหลาน
และเงินที่พวกมันปล้นไป นอกจากจะสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองแล้ว อาจจะถูกนำไปแปลงเป็นทุนเพื่อใช้จัดซื้อจัดจ้างมวลชน สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในสังคมอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว
เพราะเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ระบุว่า อัตราค่าหัวคิวในโครงการของรัฐบาล ปัจจุบันขยับขึ้นไปถึง 50% แล้ว โดยโครงการรัฐมูลค่า 100 บาท โกงกันไปแล้ว 50 บาท
ถ้าเทียบอัตราส่วนเดียวกันในโครงการแก้ปัญหาน้ำงบประมาณ 3.4 แสนล้านบาท จะกัน 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งนอกจากจะจัดทำโครงการไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนระบบควบคุมการจราจรทางอากาศของสนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งเกิดปัญหาฉาวโฉ่ขึ้นมาแล้ว
ระบอบทักษิณยังมีทุนอีกนับแสนๆ ล้านบาท เพื่อยุยงปลุกปั่นจ้างมวลชนมาเป็นอันธพาลคุกคามสังคมอีกด้วย
งบประมาณบริหารจัดการน้ำ 3.4 แสนล้านบาท จึงต้องเฝ้ากันยิ่งกว่าไข่ในหิน จะปล่อยให้โจรปล้นไม่ได้
จะเฝ้ากันอย่างไร จะป้องกันกันอย่างไร ต้องช่วยกันคิดทันที เพราะถ้าโกงกันสะบั้นหั่นแหลกได้ ทุนที่จะปั่นหัวคนเสื้อแดงจะมีใช้กันอีกไม่อั้น
สังคมก็คงไม่ได้อยู่เย็นเป็นสุขกันอีกนาน
รู้ๆ อยู่ว่า งบบริหารจัดการน้ำ 3.4 แสนล้านบาท มันจ้องโกงกันแน่ๆ ที่ยังไม่รู้คือ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้พวกมันโกง
เพราะโครงการนี้ มีสิ่งบอกเหตุมาเป็นระยะว่า จะโกงกันสะบั้นหั่นแหลก จะมีคนรวยเป็นเศรษฐีใหม่นับร้อยนับพันคน และเส้นทางการโกงก็ถูกเบิกจนกว้างไปแล้ว โดยมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบแก้ไขระเบียบการบริหารโครงการ โดยสามารถประมูลด้วยวิธีพิเศษได้
งบเยียวยาหรือช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยน้ำท่วมปีที่ผ่านมา มีข่าวฉาวโฉ่มาแล้ว แม้ประชาชนจะเดือดร้อนเลือดตาแทบกระเด็น แทบไม่มีอาหารประทังชีวิต แต่กลุ่มคนที่มีจิตใจอำมหิต ก็ยังเบียดบังเงินช่วยเหลือ โกงแม้กระทั่งงบจัดซื้อข้าวกล่องให้ผู้ประสบภัย และแม้จะมีการตีแผ่ประจานความอำมหิต แต่คดีก็เงียบหาย
งบประมาณเพียงไม่กี่สิบล้าน ไม่กี่ร้อยล้าน มันยังโกง งบประมาณ 3.4 แสนล้านบาท มันคงเตรียมวางแผนกันไว้แล้ว ใครจะได้ประมูลโครงการไหน ใครจะโกงกันเท่าไหร่
โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม จึงต้องเฝ้ากันทุกกระเบียดนิ้ว จับตาในทุกความเคลื่อนไหว เกาะติดในทุกโครงการ เพราะมันโกงกันแน่ๆ และโกงกันหน้าด้านๆ เหมือนที่เคยโกงกันเมื่อปีก่อน
เงินจำนวน 3.4 แสนล้านบาท ถือเป็นงบประมาณก้อนมหึมา และสร้างภาระหนักอึ้งให้ประเทศ เพราะจะต้องมียอดหนี้สาธารณะพุ่งขึ้น เนื่องจากเงินงบประมาณยังขาดดุล ต้องกู้มาใช้จัดทำโครงการ
รัฐบาลชุดนี้วางแผนไว้หมดแล้ว เมื่อรู้ว่าไม่มีเงิน จึงดึงคนที่พร้อมจะถูกด่า พร้อมจะรับใช้อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูเพื่อแลกกับตำแหน่งทางการเมือง เข้ามาทำหน้าที่เล่นกลในระบบการเงิน โดยเงินงบประมาณที่ไม่สามารถได้ เช่น หนี้ที่ต้องชำระแทนกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ก็โยนไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบ
เงินที่จะนำไปปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ก็ดึงเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยมาปล่อย
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ก็จ้องหาช่องทางนำมาผลาญกันอยู่ โดยส่งนายวีรพงษ์ รามางกูร เข้ามารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อกรุยทาง และประสานความร่วมมือกับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีคลัง
ส่วนเงินที่จะใช้ลงทุนในโครงการต่างๆ ซึ่งสามารถโกงได้ จะใช้วิธีการกู้ และกู้มาเพื่อจะโกงกัน ส่วนภาระหนี้สินที่ก่อขึ้นจากเงินกู้โยนภาระให้ประชาชนทั้งประเทศแบกรับไป
อนาคตของประเทศจะเป็นอย่างไร โจรในคราบนักการเมืองกลุ่มนี้ไม่มีวันตระหนัก คิดเพียงแต่ชั่วโมงนี้กูจะโกง ใครใคร่โกงโกงไป ใครโกงมากก็รวยมาก และไม่ต้องกลัวคุกตาราง เพราะรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ไม่เคยปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง
และคงไม่มีวันเอาเรื่องลูกสมุนพี่ชายตัวเอง ไม่เช่นนั้นการทุจริตงบน้ำท่วมกันฉาวโฉ่หลายกรณีเมื่อปีก่อน คงไม่เงียบเหมือนเป่าสาก
ไม่ว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะออกมาค้ำประกันความสุจริตในการใช้งบประมาณอย่างไร ไม่ว่านายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย จะเสียงแข็งยืนยันความโปร่งใสในการดำเนินโครงการอย่างไร ก็ไม่มีใครเชื่อว่า
งบแก้ปัญหาน้ำ 3.4 แสนล้านบาท จะไม่มีโกง แต่เชื่อกันว่า โกงกันแน่ๆ และจะโกงกันอย่างเป็นล่ำเป็นสันเสียด้วย
ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันคิดแล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้พวกโจรปล้นงบน้ำท่วมกันอย่างไร เพราะเงินที่โจรกลุ่มนี้เตรียมจะปล้น หมายถึงหนี้สินของประชาชนทุกคนต้องร่วมกันชดใช้ และอาจต้องชดใช้กันชั่วลูกชั่วหลาน
และเงินที่พวกมันปล้นไป นอกจากจะสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองแล้ว อาจจะถูกนำไปแปลงเป็นทุนเพื่อใช้จัดซื้อจัดจ้างมวลชน สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในสังคมอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว
เพราะเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ระบุว่า อัตราค่าหัวคิวในโครงการของรัฐบาล ปัจจุบันขยับขึ้นไปถึง 50% แล้ว โดยโครงการรัฐมูลค่า 100 บาท โกงกันไปแล้ว 50 บาท
ถ้าเทียบอัตราส่วนเดียวกันในโครงการแก้ปัญหาน้ำงบประมาณ 3.4 แสนล้านบาท จะกัน 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งนอกจากจะจัดทำโครงการไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนระบบควบคุมการจราจรทางอากาศของสนามบินสุวรรณภูมิที่เพิ่งเกิดปัญหาฉาวโฉ่ขึ้นมาแล้ว
ระบอบทักษิณยังมีทุนอีกนับแสนๆ ล้านบาท เพื่อยุยงปลุกปั่นจ้างมวลชนมาเป็นอันธพาลคุกคามสังคมอีกด้วย
งบประมาณบริหารจัดการน้ำ 3.4 แสนล้านบาท จึงต้องเฝ้ากันยิ่งกว่าไข่ในหิน จะปล่อยให้โจรปล้นไม่ได้
จะเฝ้ากันอย่างไร จะป้องกันกันอย่างไร ต้องช่วยกันคิดทันที เพราะถ้าโกงกันสะบั้นหั่นแหลกได้ ทุนที่จะปั่นหัวคนเสื้อแดงจะมีใช้กันอีกไม่อั้น
สังคมก็คงไม่ได้อยู่เย็นเป็นสุขกันอีกนาน
รู้ๆ อยู่ว่า งบบริหารจัดการน้ำ 3.4 แสนล้านบาท มันจ้องโกงกันแน่ๆ ที่ยังไม่รู้คือ ทำอย่างไรที่จะไม่ให้พวกมันโกง
