อนุ กมธ.ติดตามงบน้ำท่วม สภา พบงบ 1.2 แสนล้าน เบิกจ่ายไปจริงแค่ 10% ชี้สุดล่าช้า แฉ มท.มีพวกแอบอ้างเรียกเก็บหัวคิวร้อยละ 35 สุดงงมติ ครม.ให้เรียกงบคืนสำหรับหน่วยงานที่ยังไม่ได้ใช้ สับรัฐไม่กำหนดราคากลาง ส่อไม่โปร่งใส มึนอนุมัติสร้างสะพานทั้งที่จุดฟลัดเวย์ยังไม่ชัด จ่อเชิญกรมชลฯ แจง 16 พ.ค. เผยข้าวกล่องน้ำท่วม 4 เขตส่อมีสวมสิทธิ์
วันนี้ (3 พ.ค.) ที่รัฐสภา นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ คณะอนุกรรมาธิการติดตามการบริหารงบประมาณหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (งบน้ำท่วม) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า จากการที่คณะอนุกรรมาธิการตรวจสอบการใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบอุทักภัย จำนวน 1.2 แสนล้านบาท พบว่า โครงการต่างๆ มีการเบิกจ่ายงบไปเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งถือว่ามีความล่าช้ามากและงบในส่วนของกระทรวงมหาดไทยที่จะให้เบิกจ่าย พบว่ามีคนไปเรียกเก็บค่าหัวคิวร้อยละ 35 เรื่องดังกล่าวรองปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ออกมายอมรับว่ามีคนไปแอบอ้างเรียกเก็บค่าหัวคิวจริง แต่เมื่อตรวจสอบไปแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง ซึ่งทางคณะอนุกรรมาธิการจะมีการตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไปว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง
นายชาญชัยกล่าวต่อว่า ในเมื่อมีการเบิกจากงบไปเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อวันที่ 1 พ.ค. มติ ครม.ได้มีมติเห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2555 รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟูและป้องกันการเสียหายจกอุทกภัยอย่างบูรณาการที่มีโครงการหรือรายการที่ยังไม่ได้มีการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนการประกวดราคา หรือกรณีดำเนินการเองที่ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติงานภายในวันที่ 30 มิ.ย. ให้ส่งคืนงบประมาณดังกล่าวให้สำนักงบประมาณในวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งเรื่องนี้ตนเห็นว่ามีความผิดปกติว่าทำไมต้องเรียกงบประมาณคืน ใครเป็นคนสั่งให้ดำเนินการแบบนี้ จากกรณีดังกล่าวหมายความว่าประชาชนที่ประสบอุทกภัยจะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือและเดือดร้อนมาก ทั้งๆ ที่ความจริง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นความผิดของประชาชน แต่เป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากหน่วยงานราชการที่ดำเนินการล่าช้าจนต้องเรียกเงินคืน
นายชาญชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนั้นโครงการต่างๆ พบว่าไม่มีการแจ้งราคากลาง ทั้งๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีระเบียบว่าต้องแจ้งราคากลางและทำตามกฎหมาย แต่รัฐบาลกลับส่งเรื่องให้กระทรวงการคลังพิจารณาเรื่องนี้ ตนเห็นว่ารัฐบาลพยายามที่จะปฏิเสธไม่ให้มีการเปิดเผยบุคคลหรือราคากลางโครงการต่างๆ เพราะได้มีมติ ครม.ออกมาว่าไม่ควรแสดงรายชื่อคณะกรรมการกำหนดราคากลาง เพราะจะมีผลกระทบทางสังคมต่อผู้นั้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสในการทำงานของรัฐบาล
นอกจากนี้ ทางคณะอนุกรรมาธิการได้เชิญกรมทางหลวงและกรมชลประทานมาชี้แจงเกี่ยวกับงบประมาณที่ได้รับไปประมาณ 1 พันล้านบาท เพราะพบว่ากรมทางหลวงมีแผนการสร้างสะพานจำนวน 500 ล้านบาท และ 350 ล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ฟลัดเวย์ ซึ่งน่าแปลกที่มีการระบุในการใช้งบว่าเป็นงบฉุกเฉินที่ต้องสร้างให้เสร็จภายใน 3-6 เดือน แต่ในสัญญาว่าจ้างกำหนดให้แล้วเสร็จในปี 56 นอกจากนั้นทางกรมชลประทานก็ได้ยอมรับเองว่าพื้นที่ฟลัดเวย์ยังไม่มีข้อชัดเจนว่าจะใช้พื้นที่ใดกันแน่ แต่กลับมีการอนุมัติงบประมาณให้สร้างสะพานหลายสิบจุด ซึ่งตรงนี้รัฐบาลต้องตอบว่าหน่วยงานใดเป็นคนสั่งให้สร้าง คือเป็น กยอ.หรือนายกฯที่สั่งให้สร้าง ซึ่งทางคณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้เกิดการทุจริตได้ ซึ่งต้องติดตามตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป โดยในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการในวันที่ 16 พ.ค. จะเชิญกรมชลฯมาชี้แจงเรื่องความชัดเจนของพื้นที่ในการทำฟลัดเวย์เพื่อระบายน้ำอีกครั้งหนึ่ง
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีข้อพิรุธในการจัดซื้อข้าวกล่องช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน 4 เขตกทม. ได้แก่ เขตลาดกระบัง มีนบุรี หนองจอก และคลองสามวา ซึ่งส่อไปในทางทุจริตเรื่องงบประมาณ เพราะมีการเบิกจ่ายงบจำนวน 61 ล้านบาท โดยอ้างว่ามีผู้จ่ายเงินสดล่วงหน้าไปก่อนแล้วทางกรมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มาเบิกจ่ายงบ ซึ่งตามปกติจะเบิกจ่ายเป็นเช็ค แต่สำหรับครั้งนี้เบิกจ่ายเป็นเงินสดภายหลังครั้งละ 9-10 ล้านบาท ซึ่งทางดีเอสไอและปปช.ได้ลงไปตรวจสอบและพบพิรุธว่าร้านที่รับทำข้าวกล่าวไม่ได้มีการเสียภาษี อีกทั้งทางคณะอนุกรรมาธิการได้เรียกผู้ผลิตข้าวกล่องมาชี้แจงและยืนยันว่าตัวเองไม่ได้รับงาน
นายชาญชัย กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบรายชื่อเป็นที่น่าสงสัยว่า อาจมีการสวมสิทธิ์รายชื่อผู้มีสิทธิทำข้าวกล่องมาเบิกจ่ายงบ อีกทั้งอาจมีการทุจริตถึง 30 ล้านบาทจากเงินที่ได้มีการเบิกจ่าย ทั้งนี้ เชื่อว่าเงินจำนวน 61 ล้านที่อ้างว่านำไปจ่ายนั้นมีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่นอน นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวยังเกี่ยวข้องตั้งแต่ผอ.เขต 8 สำนักงานพัฒนาสังคม รองอธิบดีและอธิบดี ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกครั้ง