“ดร.ณรงค์ โชควัฒนา กล่าวว่า80 ปีเปลี่ยนการปกครอง คนไทยไม่เคยลิ้มรสชาติระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงเพราะถูกนักการเมืองหลอกลวง และมอมเมาล่อเพื่อมอบอำนาจให้ แล้วเข้ามาตักตวงผลประโยชน์ของชาติ” (ดุจเสือฝูงแล้วฝูงเล่า)
นี่คือความเห็นถูก คิดถูก และพูดที่ถูกต้อง เพราะประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย 80 กว่าปี แห่งการเปลี่ยนแปลงแท้จริงมันเป็นเพียงระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา ที่ถือเอากฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่เท่านั้น
จุดมุ่งหมายแรกเริ่มเดิมทีของคณะราษฎรทำรัฐประหารล้มรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าฯ จุดมุ่งหมายสูงสุดของคณะราษฎรคือธรรมนูญการปกครอง พวกเขาไม่เคยพูดถึงระบอบประชาธิปไตยเลย รัฐธรรมนูญฉบับที่ 1-4 ไม่เคยพูดถึง ไม่เคยมีการสถาปนาหลักปกครองแบบประชาธิปไตย
จู่ๆ รัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อได้อำนาจจากการทำรัฐประหารแล้ว ก็ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 ในมาตรา 2 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
จากนั้นฉบับที่ 6,7-18 ก็ลอกเขียนตามเพียงเปลี่ยนถ้อยคำบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นรัฐธรรมนูญล่าสุด ฉบับที่ 18 ในมาตรา 2 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เพียงแค่นี้แล้วระบอบประชาธิปไตยมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ช่างไม่ฉุกคิดกันเลย
นี่คือการสืบทอดความเห็นผิดอย่างใหญ่หลวงและเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการสร้างหรือสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือระบอบประชาธิปไตย
แนวทางการแก้ปัญหาต้องเลิกเชื่อ ละทิ้งแนวคิด แนวทางลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้พวกทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง นิติราษฎร์หลงผิดยึดลัทธิอุบาทว์ไปฝ่ายเดียวเถิด
แต่หน้าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังหลงผิด เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็คือตัวแทนความคิดลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญฝ่ายขวา ก็ปล่อยให้พวกเขาหลงผิดหลงทางเป็นอาชญากรทางปัญญาทำลายชาติประชาชน
ด้วยใจจริงก็อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ต่อยอดเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไทย ขึ้นมาสู้กับพวกฝ่ายซ้ายจอมปลอมทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยนายทุนใหญ่ซึ่งถูกพวกแกนนำเสื้อแดงทำแนวร่วม พูดง่ายๆ ว่า พวกแกนนำเสื้อแดงเอาทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย มานั่งร้านสร้างตึก เมื่อสร้างตึกเสร็จแล้วก็เอานั่งร้านไปเผ่าทิ้งในจีน ในเวียดนาม ในเนปาล เอาไปยิงทิ้ง ถือว่าเป็นจอมคนโกงชาติ จอมทรยศต่อชาติ
ลองมาฟังความเห็นนี้ “ผู้คน...โดยเฉพาะแกนนำมวลชนหลักๆ ยังเข้าใจผิดกันอีกมาก ระหว่างระบอบหรือหลักการปกครองกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยประเทศเดียวที่เข้าใจผิดเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยเข้าใจเอาวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ความเข้าใจเช่นนี้เป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรง ต่อการแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ คือเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นเอง
ในทางที่ถูกต้อง “จุดมุ่งหมายต้องมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมายเสมอไป” ดังเช่นเราจะร่วมกันไปวัดพระแก้ว วัดพระแก้วต้องมีอยู่ก่อนแล้ว เราจึงไปถึงได้ เข้าถึงได้ ด้วยวิธีการอันหลากหลาย เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถยนต์ ฯลฯ ฉันใด
ระบอบฯ หรือหลักการปกครองต้องมาก่อนวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) ฉันนั้น ใครพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับพิทักษ์วิธีการแต่ไม่รู้ว่าจุดหมายคืออะไร เพราะจุดมุ่งหมายของปวงชนยังไม่มี มันจึงกลายเป็นจุดหมายของคณะผู้ปกครองนี่คือความเป็นเผด็จการ มันจึงพากันพินาศทั้งประเทศครั้งแล้วครั้งเล่า 18 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่เข็ดกันเสียที เหนื่อยมากสำหรับสอนคนในประเทศนี้ ดังหลวงพ่อพุทธทาส เคยกล่าวว่า มันเป็น “ไอ้ชาติโง่” ชาติเดียวจริงๆ ที่ไม่รู้เรื่องจุดมุ่งหมาย กับวิธีการจุดมุ่งหมาย ในพระไตรปิฎกเองก็มีคำสอนมากมายในเรื่องนี้” อย่าไปเอารัฐธรรมนูญเป็นจุดมุ่งหมาย มันมีแต่หายนะ และผิดซ้ำๆ ซากๆ ฉุกคิดกันบ้างไหม
เราเชื่อว่าผู้อ่านบทความนี้เข้าใจได้ และจะเข้าใจลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป และจะเป็นพลังสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่ต่อไป “เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องมีอยู่ก่อน” ดังเช่น “เมื่อมีจุดมุ่งหมาย ย่อมมีหนทาง เมื่อมีหนทาง สักวันหนึ่งจะก้าวหน้า เข้าถึงจุดมุ่งหมายความสำเร็จ”
ในทางตรงกันข้าม “เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็ไม่มีหนทาง เมื่อไม่มีหนทาง ก็ไม่มีความก้าวหน้า อุปมา พายเรือในอ่างน้ำวกไปวนมา มันอยู่กับที่ขัดแย้งกันเหมือนเดิมซ้ำซากมายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว”
เมื่อไม่มีระบอบหรือหลักการปกครอง (ไม่มีจุดมุ่งหมาย) มีแต่วิธีการไปคือรัฐธรรมนูญ แล้วจะไปเข้าถึงระบอบได้อย่างไร แค่นี้เองง่ายๆ แต่มันมืดบอดเป็นเรื่องยากมากสำหรับประเทศไทย ลุ่มหลงกันแต่รัฐธรรมนูญทั้งสองฝ่าย
รัฐธรรมนูญกลายเป็นพระเจ้าไปแล้วสำหรับประเทศไทย ฝ่ายขวาก็พิทักษ์ผิด แทนที่จะเสนอสถาปนาระบอบแล้วพิทักษ์ระบอบ แต่นี่กลับพิทักษ์รัฐธรรมนูญเหมือนพิทักษ์คนตายไม่ให้เน่านั่นเอง
ฝ่ายซ้ายเอง ก็บูชาลัทธิรัฐธรรมนูญเช่นกัน แต่ต้องการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ มันก็เป็นวิธีการที่นำชาติไปฉิบหาย ทำไมมันโง่กันเช่นนั้นนะ ฝ่ายนี้ก็เห็นรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ในที่สุดฝ่ายนี้นี่เองที่เห็นมากๆ เห็นผิดลึกและคิดเอาแต่ประโยชนเพื่อทักษิณ เมื่อไม่ได้ก็จะทำทุกอย่างกระทั่งก่อสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอนหนีไม่พ้น เพราะหลงผิดกันทั้งสองฝ่าย
มาวันนี้มี ดร. ณรงค์ โชควัฒนา พอจะเห็นแล้วว่า ประเทศไทยไม่เคยลิ้มรสระบอบประชาธิปไตยเลย อย่างนี้เรียกว่าเห็นถูกต้องแล้ว ขอชมเชย
ก่อนอื่นใดทั้งสิ้น ขั้นแรก ก้าวแรก ต้องสร้างวัดพระแก้วก่อน ฉันใด พวกเราชาวไทยก็ต้องร่วมใจกันสร้างหลักการปกครองก่อน (ระบอบ) ก่อน ฉันนั้น
หลักการปกครองเป็นเช่นไร ระบอบการปกครองก็เป็นเช่นนั้น ในหลักการปกครองนั้นดูว่าอะไรเป็นตัวถือดุล ธรรมถือดุลก็เป็นธรรมาธิปไตย ประชาชนถือดุลก็เป็นประชาธิปไตย แล้วอะไรถูกต้องดีกว่ากัน อะไรควรเป็นหลักอะไรควรเป็นรอง ปัญญาชนย่อมคิดได้โดยใช้หลักทั้งสองอย่างมารวมกัน
วิธีการสร้างระบอบหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรม แท้จริงนั้นเป็นพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังเช่น พระราชภารกิจขององค์สมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ในพระราชหัตถเลขา ทรงวางแผนสถาปนา “หลักDemocracy” เริ่มต้นด้วยการยกแก่นแท้ของชาติ หรือลักษณะพิเศษประจำชาติอันยิ่งใหญ่ ด้วยการยกชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขึ้นเป็นหลักการของชาติ แต่ถูกยึดอำนาจโดยพวกอยากใหญ่เสียก่อน น่าเสียดายจริงๆ
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า หลักการของชาตินั้น จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง หรือถูกสมมติให้เป็นสิ่งที่ไม่ตายไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ศาสนา (1. หลักธรรมาธิปไตย) เป็นสิ่งที่ไม่ตาย 2. หลักพระมหากษัตริย์ (สถาบัน) องค์รวมของอำนาจอธิปไตยของปวงชนเป็นสิ่งไม่ตายของชาติ (3.หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน) เป็นสิ่งไม่ตาย ยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง เราได้แล้ว 3 ข้ออันเป็นแก่นแท้ยิ่งใหญ่ของชาติไทยเรามาแต่โบราณกาล
ต่อมาร่วมกันยกหลักธรรมสำหรับการอยู่ร่วมกันเพื่อทำกุศล ทำความดีร่วมกันในชาติ และเป็นหลักธรรมที่ไม่ตายอีก 6 หลัก ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายเจริญก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียว ดังนี้ 4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ประโยชน์ของหลักข้อนี้มีตัวอย่างให้เห็นคือการบรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยบุคคลทั้งหลาย
เมื่อปวงชนมีเสรีภาพบริบูรณ์ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักข้อที่ 5 คือ หลักความเสมอภาคทางโอกาส เมื่อปวงชนมีหลักที่ 1-5 ย่อมเป็นปัจจัยให้ปวงชนในชาติมีหลักที่ 6. คือหลักภราดรภาพ เมื่อปวงชนมีหลักภราดรภาพ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดหลักข้อที่ 7 คือหลักเอกภาพ (หลักรู้รักสามัคคีธรรม) เมื่อปวงชนมีหลักข้อที่ 1-7 แล้วย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยก่อให้เกิดหลักข้อที่ 8 คือ หลักดุลยภาพ นั่นหมายถึงหลักแห่งความมั่นคงของชาติสูงสุด ด้วยเหตุปัจจัยหลักธรรมทั้ง 8 ข้อนี้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งกลายเป็นหลักข้อที่ 9 คือหลักนิติธรรมแห่งชาติ
ทั้ง 9 ข้อนี้ เป็นพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ ที่ได้ทรงริเริ่มไว้เมื่อ 80 กว่าปีก่อน ที่พร้อมจะพระราชทานหลักการปกครองโดยธรรม (เพราะมีธรรมเป็นตัวถือดุล) หรือเรียกว่า “ธรรมาธิปไตย” ปริศนาธรรมที่ควรจะขยายความคือ “การสถาปนาวัดธรรมาธิปไตย ในดุสิตธานีของรัชกาลที่ 6”
นี่ไง ย่อมต่างจากพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิอุบาทว์ สร้างวงจรอุบาทว์ ที่พวกทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง นิติราษฎร และพรรคการเมืองต่างๆ ฯลฯ ยึดถือเป็นพระเจ้าไปแล้ว
มาเถิดพี่น้องเหล่าพสกนิกร (อย่างแท้จริง) มาร่วมกันเปลี่ยนแนวคิดแห่งความหายนะของชาติกว่า 80 ปี มาเป็นแนวคิดเจริญรอยตามบูรพมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5, 6, 7, 8, และ 9 สมดังพระปฐมบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ดังนี้แล้ว ก็ลงมือปฏิบัติบูชาด้วยการคิด พูด เขียนลงมือทำ เชิดชูบูชา “หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” นี้การบูชาการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริงด้วยการแสดงประชามติทั่วทั้งแผ่นดิน “ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”ประเทศไทยจะยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งของโลกต่อไป นี่คือรุกกลับทางการเมืองและไปสู่ชัยชนะของปวงชนอย่างแท้จริง และจะพ้นลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญอุบาทว์ พ้นลัทธิทักษิณทุนสามานย์ไปได้ “บทความนี้ปัญญาชนแห่งชาติย่อมเห็นด้วย”
นี่คือความเห็นถูก คิดถูก และพูดที่ถูกต้อง เพราะประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย 80 กว่าปี แห่งการเปลี่ยนแปลงแท้จริงมันเป็นเพียงระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา ที่ถือเอากฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นใหญ่เท่านั้น
จุดมุ่งหมายแรกเริ่มเดิมทีของคณะราษฎรทำรัฐประหารล้มรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าฯ จุดมุ่งหมายสูงสุดของคณะราษฎรคือธรรมนูญการปกครอง พวกเขาไม่เคยพูดถึงระบอบประชาธิปไตยเลย รัฐธรรมนูญฉบับที่ 1-4 ไม่เคยพูดถึง ไม่เคยมีการสถาปนาหลักปกครองแบบประชาธิปไตย
จู่ๆ รัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อได้อำนาจจากการทำรัฐประหารแล้ว ก็ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 5 ในมาตรา 2 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข”
จากนั้นฉบับที่ 6,7-18 ก็ลอกเขียนตามเพียงเปลี่ยนถ้อยคำบ้างเล็กน้อย อย่างเช่นรัฐธรรมนูญล่าสุด ฉบับที่ 18 ในมาตรา 2 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เพียงแค่นี้แล้วระบอบประชาธิปไตยมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ช่างไม่ฉุกคิดกันเลย
นี่คือการสืบทอดความเห็นผิดอย่างใหญ่หลวงและเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งต่อการสร้างหรือสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยหรือระบอบประชาธิปไตย
แนวทางการแก้ปัญหาต้องเลิกเชื่อ ละทิ้งแนวคิด แนวทางลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ ปล่อยให้พวกทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง นิติราษฎร์หลงผิดยึดลัทธิอุบาทว์ไปฝ่ายเดียวเถิด
แต่หน้าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังหลงผิด เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็คือตัวแทนความคิดลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญฝ่ายขวา ก็ปล่อยให้พวกเขาหลงผิดหลงทางเป็นอาชญากรทางปัญญาทำลายชาติประชาชน
ด้วยใจจริงก็อยากให้พรรคประชาธิปัตย์ต่อยอดเสนอหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไทย ขึ้นมาสู้กับพวกฝ่ายซ้ายจอมปลอมทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทยนายทุนใหญ่ซึ่งถูกพวกแกนนำเสื้อแดงทำแนวร่วม พูดง่ายๆ ว่า พวกแกนนำเสื้อแดงเอาทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย มานั่งร้านสร้างตึก เมื่อสร้างตึกเสร็จแล้วก็เอานั่งร้านไปเผ่าทิ้งในจีน ในเวียดนาม ในเนปาล เอาไปยิงทิ้ง ถือว่าเป็นจอมคนโกงชาติ จอมทรยศต่อชาติ
ลองมาฟังความเห็นนี้ “ผู้คน...โดยเฉพาะแกนนำมวลชนหลักๆ ยังเข้าใจผิดกันอีกมาก ระหว่างระบอบหรือหลักการปกครองกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยประเทศเดียวที่เข้าใจผิดเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยเข้าใจเอาวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ความเข้าใจเช่นนี้เป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรง ต่อการแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ คือเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงนั่นเอง
ในทางที่ถูกต้อง “จุดมุ่งหมายต้องมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมายเสมอไป” ดังเช่นเราจะร่วมกันไปวัดพระแก้ว วัดพระแก้วต้องมีอยู่ก่อนแล้ว เราจึงไปถึงได้ เข้าถึงได้ ด้วยวิธีการอันหลากหลาย เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถยนต์ ฯลฯ ฉันใด
ระบอบฯ หรือหลักการปกครองต้องมาก่อนวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) ฉันนั้น ใครพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับพิทักษ์วิธีการแต่ไม่รู้ว่าจุดหมายคืออะไร เพราะจุดมุ่งหมายของปวงชนยังไม่มี มันจึงกลายเป็นจุดหมายของคณะผู้ปกครองนี่คือความเป็นเผด็จการ มันจึงพากันพินาศทั้งประเทศครั้งแล้วครั้งเล่า 18 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่เข็ดกันเสียที เหนื่อยมากสำหรับสอนคนในประเทศนี้ ดังหลวงพ่อพุทธทาส เคยกล่าวว่า มันเป็น “ไอ้ชาติโง่” ชาติเดียวจริงๆ ที่ไม่รู้เรื่องจุดมุ่งหมาย กับวิธีการจุดมุ่งหมาย ในพระไตรปิฎกเองก็มีคำสอนมากมายในเรื่องนี้” อย่าไปเอารัฐธรรมนูญเป็นจุดมุ่งหมาย มันมีแต่หายนะ และผิดซ้ำๆ ซากๆ ฉุกคิดกันบ้างไหม
เราเชื่อว่าผู้อ่านบทความนี้เข้าใจได้ และจะเข้าใจลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไป และจะเป็นพลังสำคัญของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างยิ่งใหญ่ต่อไป “เราจะเข้าถึงสิ่งใด สิ่งนั้นต้องมีอยู่ก่อน” ดังเช่น “เมื่อมีจุดมุ่งหมาย ย่อมมีหนทาง เมื่อมีหนทาง สักวันหนึ่งจะก้าวหน้า เข้าถึงจุดมุ่งหมายความสำเร็จ”
ในทางตรงกันข้าม “เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็ไม่มีหนทาง เมื่อไม่มีหนทาง ก็ไม่มีความก้าวหน้า อุปมา พายเรือในอ่างน้ำวกไปวนมา มันอยู่กับที่ขัดแย้งกันเหมือนเดิมซ้ำซากมายาวนานกว่า 80 ปีแล้ว”
เมื่อไม่มีระบอบหรือหลักการปกครอง (ไม่มีจุดมุ่งหมาย) มีแต่วิธีการไปคือรัฐธรรมนูญ แล้วจะไปเข้าถึงระบอบได้อย่างไร แค่นี้เองง่ายๆ แต่มันมืดบอดเป็นเรื่องยากมากสำหรับประเทศไทย ลุ่มหลงกันแต่รัฐธรรมนูญทั้งสองฝ่าย
รัฐธรรมนูญกลายเป็นพระเจ้าไปแล้วสำหรับประเทศไทย ฝ่ายขวาก็พิทักษ์ผิด แทนที่จะเสนอสถาปนาระบอบแล้วพิทักษ์ระบอบ แต่นี่กลับพิทักษ์รัฐธรรมนูญเหมือนพิทักษ์คนตายไม่ให้เน่านั่นเอง
ฝ่ายซ้ายเอง ก็บูชาลัทธิรัฐธรรมนูญเช่นกัน แต่ต้องการบั่นทอนสถาบันพระมหากษัตริย์ มันก็เป็นวิธีการที่นำชาติไปฉิบหาย ทำไมมันโง่กันเช่นนั้นนะ ฝ่ายนี้ก็เห็นรัฐธรรมนูญเป็นระบอบประชาธิปไตย ในที่สุดฝ่ายนี้นี่เองที่เห็นมากๆ เห็นผิดลึกและคิดเอาแต่ประโยชนเพื่อทักษิณ เมื่อไม่ได้ก็จะทำทุกอย่างกระทั่งก่อสงครามกลางเมืองอย่างแน่นอนหนีไม่พ้น เพราะหลงผิดกันทั้งสองฝ่าย
มาวันนี้มี ดร. ณรงค์ โชควัฒนา พอจะเห็นแล้วว่า ประเทศไทยไม่เคยลิ้มรสระบอบประชาธิปไตยเลย อย่างนี้เรียกว่าเห็นถูกต้องแล้ว ขอชมเชย
ก่อนอื่นใดทั้งสิ้น ขั้นแรก ก้าวแรก ต้องสร้างวัดพระแก้วก่อน ฉันใด พวกเราชาวไทยก็ต้องร่วมใจกันสร้างหลักการปกครองก่อน (ระบอบ) ก่อน ฉันนั้น
หลักการปกครองเป็นเช่นไร ระบอบการปกครองก็เป็นเช่นนั้น ในหลักการปกครองนั้นดูว่าอะไรเป็นตัวถือดุล ธรรมถือดุลก็เป็นธรรมาธิปไตย ประชาชนถือดุลก็เป็นประชาธิปไตย แล้วอะไรถูกต้องดีกว่ากัน อะไรควรเป็นหลักอะไรควรเป็นรอง ปัญญาชนย่อมคิดได้โดยใช้หลักทั้งสองอย่างมารวมกัน
วิธีการสร้างระบอบหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยธรรม แท้จริงนั้นเป็นพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังเช่น พระราชภารกิจขององค์สมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ในพระราชหัตถเลขา ทรงวางแผนสถาปนา “หลักDemocracy” เริ่มต้นด้วยการยกแก่นแท้ของชาติ หรือลักษณะพิเศษประจำชาติอันยิ่งใหญ่ ด้วยการยกชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขึ้นเป็นหลักการของชาติ แต่ถูกยึดอำนาจโดยพวกอยากใหญ่เสียก่อน น่าเสียดายจริงๆ
ก่อนอื่นต้องรู้ว่า หลักการของชาตินั้น จะต้องเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ไม่เปลี่ยนแปลง หรือถูกสมมติให้เป็นสิ่งที่ไม่ตายไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ศาสนา (1. หลักธรรมาธิปไตย) เป็นสิ่งที่ไม่ตาย 2. หลักพระมหากษัตริย์ (สถาบัน) องค์รวมของอำนาจอธิปไตยของปวงชนเป็นสิ่งไม่ตายของชาติ (3.หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน) เป็นสิ่งไม่ตาย ยกขึ้นเป็นหลักการปกครอง เราได้แล้ว 3 ข้ออันเป็นแก่นแท้ยิ่งใหญ่ของชาติไทยเรามาแต่โบราณกาล
ต่อมาร่วมกันยกหลักธรรมสำหรับการอยู่ร่วมกันเพื่อทำกุศล ทำความดีร่วมกันในชาติ และเป็นหลักธรรมที่ไม่ตายอีก 6 หลัก ซึ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาฝ่ายเจริญก้าวหน้าโดยฝ่ายเดียว ดังนี้ 4. หลักเสรีภาพบริบูรณ์ประโยชน์ของหลักข้อนี้มีตัวอย่างให้เห็นคือการบรรลุธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยบุคคลทั้งหลาย
เมื่อปวงชนมีเสรีภาพบริบูรณ์ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้มีหลักข้อที่ 5 คือ หลักความเสมอภาคทางโอกาส เมื่อปวงชนมีหลักที่ 1-5 ย่อมเป็นปัจจัยให้ปวงชนในชาติมีหลักที่ 6. คือหลักภราดรภาพ เมื่อปวงชนมีหลักภราดรภาพ ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดหลักข้อที่ 7 คือหลักเอกภาพ (หลักรู้รักสามัคคีธรรม) เมื่อปวงชนมีหลักข้อที่ 1-7 แล้วย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัยก่อให้เกิดหลักข้อที่ 8 คือ หลักดุลยภาพ นั่นหมายถึงหลักแห่งความมั่นคงของชาติสูงสุด ด้วยเหตุปัจจัยหลักธรรมทั้ง 8 ข้อนี้หลอมรวมกันเป็นหนึ่งกลายเป็นหลักข้อที่ 9 คือหลักนิติธรรมแห่งชาติ
ทั้ง 9 ข้อนี้ เป็นพระราชภารกิจอันยิ่งใหญ่แห่งองค์พระมหากษัตริย์ ที่ได้ทรงริเริ่มไว้เมื่อ 80 กว่าปีก่อน ที่พร้อมจะพระราชทานหลักการปกครองโดยธรรม (เพราะมีธรรมเป็นตัวถือดุล) หรือเรียกว่า “ธรรมาธิปไตย” ปริศนาธรรมที่ควรจะขยายความคือ “การสถาปนาวัดธรรมาธิปไตย ในดุสิตธานีของรัชกาลที่ 6”
นี่ไง ย่อมต่างจากพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญอันเป็นลัทธิอุบาทว์ สร้างวงจรอุบาทว์ ที่พวกทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง นิติราษฎร และพรรคการเมืองต่างๆ ฯลฯ ยึดถือเป็นพระเจ้าไปแล้ว
มาเถิดพี่น้องเหล่าพสกนิกร (อย่างแท้จริง) มาร่วมกันเปลี่ยนแนวคิดแห่งความหายนะของชาติกว่า 80 ปี มาเป็นแนวคิดเจริญรอยตามบูรพมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5, 6, 7, 8, และ 9 สมดังพระปฐมบรมราชโองการอันยิ่งใหญ่ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ดังนี้แล้ว ก็ลงมือปฏิบัติบูชาด้วยการคิด พูด เขียนลงมือทำ เชิดชูบูชา “หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” นี้การบูชาการรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างแท้จริงด้วยการแสดงประชามติทั่วทั้งแผ่นดิน “ขอพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9”ประเทศไทยจะยิ่งใหญ่เป็นหนึ่งของโลกต่อไป นี่คือรุกกลับทางการเมืองและไปสู่ชัยชนะของปวงชนอย่างแท้จริง และจะพ้นลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญอุบาทว์ พ้นลัทธิทักษิณทุนสามานย์ไปได้ “บทความนี้ปัญญาชนแห่งชาติย่อมเห็นด้วย”