xs
xsm
sm
md
lg

สุรชาติ บำรุงสุข กับบทนำมติชน ใครบิดเบือนหลอกลวงประชาชน

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

สุรชาติ บำรุงสุข ได้เขียนลงในมติชนรายสัปดาห์ เรื่อง 2475 รำลึก : พลเรือน ทหาร รัฐธรรมนูญ ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ (22-28 มิถุนายน 55) บทความนี้เขียนเรื่องเกี่ยวกับ“การเปลี่ยนแปลงการปกครองของคณะราษฎรมาสู่ระบอบรัฐธรรมนูญ” บทความนี้ ผู้เขียนขอชมเชย ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ทั้งนี้ในบทความนี้ ไม่ได้เขียนบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแม้เพียงประโยคเดียว

จุดมุ่งหมายของคณะราษฎร “พวกเขาเชื่อว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสยามต้องเปลี่ยนเป็น “ระบอบรัฐธรรมนูญ” ที่สถาบันกษัตริย์จะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายดังกล่าว”

คณะราษฎรทำรัฐประหารยึดอำนาจโค่นรัฐบาล สมเด็จพระปกเกล้าฯ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ความสำเร็จการทำรัฐประหารของคณะราษฎรมาสู่การกำเนิดของ “ระบอบรัฐธรรมนูญ”

ในบทความนี้ของ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ไม่ได้เขียนบิดเบือนเลยแม้แต่น้อย เขียนอย่างถูกต้องว่าคณะราษฎร พวกเขาทำรัฐประหารยึดอำนาจตามเจตจำนงของพวกเขาคือ “ระบอบรัฐธรรมนูญ” ในความคิด ทฤษฎีของคณะราษฎรคือ ลัทธิรัฐธรรมนูญนั่นเอง พวกเขาหาได้ทำรัฐประหารเพื่อสถาปนา “หลัก Democracy” หรือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือระบอบประชาธิปไตย ตามแนวทางของสมเด็จพระปกเกล้าฯ สมเด็จพระปกเกล้าฯ จึงได้ทรงคัดค้านและชี้ว่า แนวทางของคณะราษฎรกับของพระองค์นั้น “ไม่พ้องกันเสียแล้ว” การปกครองของคณะราษฎรเป็นเพียงลัทธิรัฐธรรมนูญ หรือลัทธิกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยมีความเชื่อว่ารัฐธรรมนูญจะนำพาประเทศชาติไปสู่ความศิวิไลซ์ในทุกด้าน

แต่ผลมันไม่เป็นไปตามที่คณะราษฎรมุ่งหวัง เพราะความอ่อนหัด อ่อนด้อยของเด็กหนุ่มนักเรียนนอกที่ไปได้เรียนได้เห็นเพียงรูปแบบ (รัฐธรรมนูญ) เท่านั้น แล้วนำรูปแบบนั้นมาใช้กับประเทศไทย ซึ่งหารู้ไหมว่า รูปแบบ มันเห็นได้ด้วยตา และมันลำดับ (Step) ที่สองเสมอไป

เรามาพิสูจน์กันง่ายๆ มองไปที่เครื่องบินลำหนึ่ง แล้วถามคนทั่วไปว่า นั่นเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม คนทั่วๆ ไป ก็จะตอบทันทีว่า นั่นคือรูปธรรม แต่หากวิเคราะห์กันให้ถ้วนถี่ เราจะเห็นว่า กระบวนการนามธรรม (การคิด การวางแผน การเขียนแบบแปลน) มาก่อนการลงมือผลิต กระบวนการนี้เป็นกระบวนการแรก เราจึงรู้ว่ากระบวนการนามธรรมมาก่อนรูปธรรม นี่คือสัจธรรม แต่พวกคณะราษฎร เห็นผิด คิดผิด ทำผิด โดยการสืบทอดของคณะผู้ปกครองโง่ๆ มาแล้วถึง 27-28 นายกรัฐมนตรี ทำผิดซ้ำรอยคณะราษฎรสำเร็จมาแล้ว 18 ครั้ง 18 ครั้ง แห่งความจัญไรที่ครอบงำประเทศไทยมากว่า 80 ปี และเกิดความขัดแย้งของคนในชาติรอบใหม่อย่างใหญ่โตก็เพราะทักษิณ ยิ่งลักษณ์ พรรคเพื่อไทย เสื้อแดง กำลังเดินแผนการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 19 มันเป็นกระบวนการความโง่เขลาเบาปัญญา ผิดซ้ำซาก ซ้ำรอย เป็นครั้งที่ 19

ทำไมพวกเขาโง่เง่าได้ถึงเพียงนั้น “สงสัยพวกเขามีแต่กะโหลก ไม่มีสมอง” กันทั้งพรรคเลยเชียวหรือ ทั้งนี้ ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ก็อย่าได้แปลกใจไปเลย ท่านจะเห็นว่าทั้งหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งและสองต่างก็มีแนวคิดไปในทำนองเดียวกันคือเห็นระบอบรัฐธรรมนูญ ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เห็นเพียงรูปแบบและวิธีการ เช่น เห็นรัฐธรรมนูญ ก็บอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เห็นการเลือกตั้งก็บอกว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เห็นระบบรัฐสภาก็บอกว่านี่คือระบอบประชาธิปไตย อันที่จริงดังที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเพียงรูปแบบและวิธีการปกครองของระบอบรัฐธรรมนูญ อันเป็นการปกครองของผู้ปกครองเพียงน้อยนิดที่ชนะการประมูลโดยการซื้อเสียงเข้าสภา เพื่อใช้อำนาจการปกครองเพื่อผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว เพราะระบอบรัฐธรรมนูญมันเป็นเพียงรูปแบบและวิธีการของการปกครอง แล้วเนื้อหาหรือหลักการปกครองหรือระบอบฯ มันอยู่ที่ไหน มันไม่มี มันไม่เคยมีมา 80 กว่าปีแล้ว

เมื่อไม่มีระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม อันเป็นหัวใจของการเมืองของประชาชน มันไม่มี มันจึงมีแต่ระบอบของนักการเมืองผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียวนั่นเอง “มันจึงเป็นการปกครองแบบเผด็จการโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญ” จึงได้เรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา”นี่คือความจริง นี่คือความจัญไร ที่ครอบงำผู้ปกครองไทยในขณะนี้ทั้งพรรคเพื่อไทย รัฐบาล ม็อบเสื้อแดง และรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์เองก็ยังเป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญเช่นกัน

ขออนุญาตหนังสือพิมพ์มติชน “เพื่อนผู้หลงผิดหลงทาง” บทนำหนังสือพิมพ์มติชน “80 ปีประชาธิปไตยไทยบทบรรณาธิการ 23 มิถุนายน 2555 พอขึ้นต้นก็บิดเบือนทันที “เป็นเพราะวันที่ 24 มิถุนายน เมื่อปี 2475 เป็นวันเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

เขาคิดว่าการบิดเบือนเช่นนี้ไม่มีใครรู้ “งั้นก็บิดเบือนกันซ้ำๆ ซากๆ กันต่อไป” หาได้ให้ปัญญาที่แท้จริงแก่ประชาชนไม่ ทั้งยังชักจูงให้เห็นผิดเป็นถูก นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่จะต้องนำมาตีแผ่

ความจริงการเปลี่ยนแปลงโดยรัฐประหารของคณะราษฎร เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 นั้น เป็นการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบรัฐธรรมนูญ นี่คือความจริง และยืนยันจากนักวิชาการ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข เราจึงเห็นชัดเฉพาะในประเด็นนี้ว่า ใครบิดเบือน ฟันธงเลยว่า บทนำมติชนบิดเบือนให้อนุชนรุ่นหลังเข้าใจผิด

“ระบอบประชาธิปไตย สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงเรียกว่า “หลัก Democracy” หรือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย พระองค์ทรงวางแผนจะทรงสถาปนาหลักการปกครองฯ แต่ไม่ทันการถูกคณะราษฎร คณะหนุ่มไฟแรงแต่เห็นผิด ไม่รอบคอบ สุกเอาเผากินทำรัฐประหารยึดอำนาจเสียก่อน

นักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองจำนวนมากไม่เข้าใจศัพท์และจินตภาพ (concept) ของคำเหล่านี้ เช่น รูปประเทศสำหรับประเทศไทยเรา คือ ราชอาณาจักร จึงมีพระมหากษัตริย์ (ทรง) เป็นประมุขแห่งรัฐหรือแห่งราชอาณาจักรพระมหากษัตริย์จึงเป็นประมุขระบอบฯ ไม่ได้ “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” จึงเป็นการเข้าใจผิดและเพี้ยนไปในการเขียน ทั้งยังลิดรอนพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์ให้ต่ำลง พูดง่ายๆ “กดให้ต่ำลง” โดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และระบอบที่เป็นอยู่จริงๆ ก็เป็นเผด็จการ พวกเขารักษาไว้เพื่อให้ประชาชนที่ไม่เข้าใจจงเกลียดจงชังพระมหากษัตริย์มากขึ้นๆ เพราะพวกเขาเข้าใจผิดไปว่า ทำไม พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขระบอบเลวถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ นี่คือความถูกต้อง แต่พวกไม่รู้ไม่เข้าใจ หรือคิดทำลายไปเขียนผูกโยงเอาไว้ว่าเป็นประมุขระบอบฯ

อยากบอก ผู้เขียนบทนำมติชนว่า ประเทศใดก็ตาม หากมีระบอบประชาธิปไตยแล้ว รัฐบาลรักษาผลประโยชน์ของปวงชนในชาติ ประเทศนั้นจะไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้นได้อย่างเด็ดขาด เช่น มาเลเซีย อินเดีย เป็นต้น ส่วนประเทศที่มีแต่รัฐประหารซ้ำซาก จลาจลซ้ำซาก นักการเมืองโกงชาติซ้ำซาก อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็น “เผด็จการ” ประเทศไทยเป็นเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีรัฐประหารครั้งต่อไป

ไม่อยากให้มีรัฐประหารก็ต้องร่วมกันสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมหรือธรรมาธิปไตย ขึ้นมาก่อนครับ แล้วจึงแก้ไขรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงกับหลักการปกครองฯ ในภายหลัง เมื่อการเมืองเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง รัฐประหารก็จะหายไปเองเพราะหมดเหตุปัจจัยแห่งความอุบาทว์จัญไรของนักการเมืองนั่นเอง

เพราะเหตุเลว ผลจึงเลว จึงเลวซ้ำซ้อนกันมาเรื่อยๆ จึงกลายเป็น 80 ปี แห่งเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นี่คือความจริงที่มาบอกคนมีปัญญา
กำลังโหลดความคิดเห็น