ผ่าประเด็นร้อน
เวลานี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าการเคลื่อนไหวของเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่คนในรัฐบาล ส.ส.พรรคเพื่อไทย นักวิชาการ รวมทั้งหัวโจกคนเสื้อแดง ล้วนแล้วมีธงอยู่เรื่องเดียว คือ ทำลายความชอบธรรมของศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนับวันยิ่งเร่งมือหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ
กลายเป็นว่ามีเพียงคนพวกนี้พวกเดียวเท่านั้นที่มีความชอบธรรม สามารถทำอะไรก็ได้ อ้างเพียงอย่างเดียวว่าตัวเองชนะการเลือกตั้ง มีเสียงข้างมากสามารถลากไปทางไหนก็ได้ สามารถวิจารณ์ด่าทอตุลาการได้อย่างเปิดเผย ชนิดที่เรียกว่าไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผลเพียงว่าศาลไม่มีอำนาจทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการเท่านั้น
ขณะเดียวกัน สังคมเริ่มรับรู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันว่า การเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การฉีกทิ้งทั้งฉบับนั้นมีเดิมพันสูงต่อ ทักษิณ ชินวัตร และที่ผ่านมาก็ได้ลงทุนเดินหน้าไปมากพอสมควร แต่จู่ๆ เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องว่าการแก้ไขดังกล่าวต้องการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ ทำให้ทุกอย่างเริ่มอยู่ “เหนือการควบคุม” ทันที
โอกาสเกิดการ “พลิกผัน” เป็นตรงกันข้ามสูงยิ่ง เพราะเวลานี้เหมือนกับว่าชะตากรรมของทักษิณ ชินวัตร ไล่ลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร สมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ที่ลงมติเห็นชอบการแก้ไข ไปจนถึงพรรคเพื่อไทย กำลังอยู่ในกำมือของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะหากในอนาคตมีการตัดสินชี้ขาดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ ทุกอย่างก็จะพังครืนทันที ใครก็ตามที่ร่วมอยู่ในกระบวนการดังกล่าวก็จะถูกร้องดำเนินคดีอาญาตามมาทันที จะเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างหนัก
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่เวลานี้จะได้เห็นการเคลื่อนไหวของเครือข่ายทักษิณทั้งหมดจะหันมาพุ่งเป้าไปทำลาย “ศาลรัฐธรรมนูญ” โดยเฉพาะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างหนัก เล่นกันทุกทางเพื่อทำลายความชอบธรรม ทำแม้กระทั่งข่มขู่คุกคามเอาชีวิตดังที่มีการเปิดเผยว่าคนขับรถของประธานศาลฯ ได้รับโทรศัพท์ข่มขู่ เมื่อเป็นแบบนี้ก็สามารถหลับตานึกภาพได้ว่าในทางลึกแล้วจะเล่นกันชั่วช้าสามานย์เพียงใด ขนาดคนขับรถยังเจอขนาดนี้ แล้วตัวประธานศาลฯ คือ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ จะโดนข่มขู่แบบใดบ้าง
อีกด้านหนึ่งก็ทำให้เข้าใจได้ว่ายิ่งเคลื่อนไหวหนักข้อแค่ไหนนั่นก็แสดงให้เห็นถึงความหวั่นไหว และเหมือนกับรู้ชะตากรรมล่วงหน้าแล้วว่า ผลจะออกมาเช่นไร เพราะเวลานี้ทั้งในพรรคเพื่อไทยและในสภาก็มีการปรับกระบวนเตรียมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้ล่วงหน้าเช่นเดียวกัน เริ่มจากในสภาก่อน นั่นคือท่าทีของประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เสนอให้ถอนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ (กม.ล้างผิด) ออกจากสภา ซึ่งแน่นอนว่าท่าทีดังกล่าวคงไม่ใช่เกิดจากความคิดส่วนตัวของเขาอย่างแน่นอน แต่ต้องเป็นสัญญาณจาก “นาย” ซึ่งถ้าไม่ดัจริตจนเกินไปก็ต้องเข้าใจดีว่าก็คือ ทักษิณ นั่นแหละ
รู้กันดีว่าคนที่ประโยชน์สูงสุด แบบรับไปเต็มๆ ทั้งเงินและอำนาจที่รวบเข้ามาในมือแบบเบ็ดเสร็จ ก็คือ ทักษิณ เพราะการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังตั้งเค้าอยู่นั้นมีเป้าหมายเพื่อรวบอำนาจฝ่ายตุลาการที่เหลืออยู่เข้ามา นั่นคือต้องผ่านการรับรองจากเสียงข้างมากในรัฐสภา ซึ่งหลับตาก็เห็นภาพแล้วว่าจะออกมาแบบไหน
ส่วนเรื่องความผิดในข้อหาทุจริตและใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบที่เคยก่อเอาไว้หากแก้ไขสำเร็จก็ถูกเป่าออกไปทั้งหมด ทำเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน เป้าหมายดังที่เคยเก็บอารมณ์ไม่อยู่เคยโม้ข้ามประเทศมาว่า “จะกลับบ้านอย่างเท่” นั่นแหละ และสาเหตุที่มีท่าทีถอนร่างกฎหมายล้างผิดออกไปก่อน ก็เพื่อความเป็น “เอกภาพ” ในหมู่พวกเดียวกันไม่ให้ตะขิดตะขวงใจ จากเดิมที่เคยตั้งคำถามอยากรู้ว่า “ใครสั่งฆ่า” ม็อบเสื้อแดง ยิงทหารตายเป็นใครกันแน่ ก็จะยุติลงชั่วคราวแล้วหันมาไล่ถล่มตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกันดีกว่า อะไรประมาณนั้น เพราะมีเป้าหมาย มีความฝันเหมือนกัน ซึ่งจริงๆก็คือล้มล้างการปกครองที่มีอยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ คนพวกนี้มองตาก็รู้ใจแล้วว่าถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่าล้มล้างการปกครองมันจะผลกระทบไปไกลขนาดไหน
สิ่งที่ทำได้ล่วงหน้าก็คือ “ข่มขู่-คุกคาม” เอาไว้ก่อน และจะต้องเร่งมือให้หนักข้อขึ้นเรื่อยๆก่อนถึงวันชี้ขาด
อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งมันก็ต้องการวัดความรู้สึกของสังคมโดยรวมว่าจะมีปฏิกิริยาแบบไหน จะนิ่งเฉยดูดายประเภทธุระไม่ใช่อีกต่อไปหรือไม่ หรือว่าออกมาในทางตรงกันข้ามช่วยกันรวมพลังปกป้องศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งระบบศาลให้หนักแน่น ยึดมั่นในการทำหน้าที่ปกป้องกระบวนการยุติธรรมปลายทางอย่างเข้มแข็ง ทำหน้าที่รักษาระบบให้เป็นที่พึ่งได้ตลอดไป
ที่สำคัญอยากรู้เหมือนกันว่าสังคมไทยจะปล่อยให้พวกอันธพาลป่วนเมืองอยู่แบบนี้ต่อไปอย่างนั้นหรือ!!
