xs
xsm
sm
md
lg

ก่อแก้วด่าทหารฆ่าแดง เลี้ยงไข้โจรใต้ดึงงบฯเข้ากระเป๋า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เมื่อเวลา 09.00 น. วานนี้ (12 ก.ค.) ที่รัฐสภา พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้เข้าชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม โดยมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ทำหน้าที่เป็นประธาน และนายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล เป็นรองประธานในการประชุม
พล.อ.เสถียร ได้ชี้แจงว่า งบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ปี 2556 จำนวน 188,011 ล้านบาท โดยได้รับงบประมาณเพิ่มจากปีที่แล้ว 12,144 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.20
สำหรับงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 6,133 ล้านบาท กรมราชองครักษ์ 580 ล้านบาท กองบัญชาการกองทัพไทย 14,875 ล้านบาท กองทัพบก 88,843 ล้านบาท กองทัพเรือ 35,205 ล้านบาท และ กองทัพอากาศ 33,977 ล้านบาท และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศองค์การมหาชน 1,196 ล้านบาท
** ถามเรื่องปล้นปืน-พิทักษ์สถาบันฯ
หลังจากฟังการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณของกระทรวงกลาโหมแล้ว ประธานในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการซักถามเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณกับ ผบ.เหล่าทัพ โดย คณะกรรมการส่วนใหญ่ได้แสดงความเป็นห่วง การดูแลเรื่องความมั่นคง ที่เกี่ยวข้องกกับความขัดแย้งทางความคิด การปกป้องเทิดทูนสถาบัน การดูแลเว็บไซต์หมิ่น สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา
นายวัชระ เพรชทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการการ ได้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อปี 2553 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปล้นปืนของเจ้าหน้าที่ไป ว่าได้คืนมาหมดหรือยัง และที่ยังไม่ได้คืน จะมีการดำเนินการอย่างไร เพื่อให้มีการก่อเหตุ
รวมถึงการตั้งคำถามไปถึงกรณีที่มีการปราศรัยบนเวที ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีแกนนำคนหนึ่ง ไปปราศรัยว่าจะเปลี่ยนการปกครองประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยแบบกัมพูชา จึง อยากทราบว่ากระทบต่อสถาบันฯ หรือไม่และจะดำเนินการอย่างไร เพราะแนวความคิดนี้มีการขยาย และเผยแพร่ต่อไปเรื่อย ๆ รวมถึงมีโอกาสหรือไม่ที่จะเกิดการรัฐประหาร
จากนั้นนายนิพิธฏ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พรรคประชาธิปไตย ในคณะกรรมาธิการ ได้กล่าวเสริมว่า คนที่ไปพูดในเวลานั้นคือ นายอดิศร เพียงเกษ ขึ้นไปพูดเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นความขมขื่น แต่ที่ผ่านมา ก็ไม่มีใครออกมาว่าอะไร ซึ่งตนก็ไม่ได้โทษกองทัพ แต่ก็อยากให้กระทรวงกลาโหม มีข้อมูลอันนี้เอาไว้ ส่วนมีแล้วจะไปทำอย่างไรก็แล้วแต่
นอกจากนี้ นายนิพิธฏ์ ยังฝากไปถึง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เกี่ยวกับวิทยุชุมชนคลื่น 104.1 จังหวัดปทุมธานีที่อยู่ข้างๆ กองทัพอากาศ แต่ก็ไม่เห็นว่าผู้บัญชาการทหารอากาศจะทำอะไร อยากให้ผู้บัญชาการทหารอากาศเข้าไปเปิดฟัง และฟังรายละเอียดว่ามันเข้าข่ายหรือไม่ อยากให้ท่านบันทึกจะเอาไปส่งให้ตำรวจ หรือคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ได้ แต่ที่ผ่านมากลับนิ่งดูดราย และผลักภาระ
ทั้งนี้นายนิพิธฏ์ ได้แสดงความชื่นชม ผู้บัญชาการทหารบก ในกรณีที่กองทัพบกมาชี้แจงเหตุการณ์ศพที่วัดปทุมวนาราม ถือเป็นเรื่องดีแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่กระทบกับกองทัพก็ให้มาชี้แจง ส่วนการทำงานระหว่างกองทัพกับประชาชนยังมีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร ส่วนเรื่องปฏิวัติไม่อยากจะทำว่าจะมีเหตุการณ์ปฏิวัติหรือไม่เพราะทุกอย่างขึ้นกับสถานการณ์ที่จะพาไป ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ต้องตอบก็ได้ และเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการทำผลโพล มีประชาชนเห็นด้วย 93 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันนี้ ถ้าถามว่าเห็นด้วยกับการปฏิวัติหรือไม่ ตนเชื่อว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วย

**ก่อแก้วจวกทหารฆ่าประชาชน

จากนั้น นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการ และ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า ตนยึดนโยบายแก้ไข แต่ไม่แก้แค้น เหมือนกับ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เป็นผู้ที่เสียสละ และทำงานเพื่อบ้านเมือง แต่ในกองทัพเองก็มีทหารที่มีความกระหาย อยากได้ตำแหน่ง มีคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกหน่วยงานก็มี แต่อยากฝากว่าจะทำอย่างไรที่จะขจัดคนเหล่านี้ให้ออกไป
แต่ในส่วนของงบประมาณทหาร จะสังเกตได้ว่าเพิ่มขึ้นทุกปีหากเปรียบเทียบกับงบของแผ่นดินถือว่ามาก ขณะนี้ประเทศไม่ต้องไปทำสงคราม แต่การเอางบประมาณไปทุ่มให้กับกองทัพเป็นจำนวนมาก ๆ จะทำให้ขาดโอกาสการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ตนมีอยู่ 2 ประเด็นที่จะฝาก คือ กรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคนว่ากันว่า มีทหารบางกลุ่มอาศัยวิกฤตสร้างสถานการณ์ เพื่อของบเพื่อทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ซึ่งตนไม่ได้คิดว่าจะมีทหารชั่วแบบนั้น แต่ก็อยากขอความชัดเจน เพราะมีการพูดกันหลายที่ ส่วนเรื่องที่สองคือการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 91 ศพ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจประชาชน ทหารโหดเหี้ยม ทหารเอาสไนเปอร์ มายิงคนไม่เลือกหน้า
หลังจากนั้นนายวัชระ เพชรทอง ลุกขึ้นประท้วงว่า เป็นคำพูดไม่เหมาะสม ที่ระบุว่า ทหารโหดเหี้ยม ทหารชั่ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องใช้วิจารณญาณ และพูดอยู่บนพื้นฐานความจริง และอยากให้หลีกเลี่ยงในเรื่องนี้ และไม่ให้มีการบันทึกในที่ประชุม โดยประธานก็รับปากว่าจะไม่มีการบันทึกไว้ในที่ประชุม
จากนั้น นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาญกุล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า ตามประเพณีเรื่องแบบนี้เราไม่ทำกัน ที่มาบอกว่าทหารลากสไนเปอร์ไปยิงประชาชนไม่เลือกหน้า ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง การตรวจสอบยังไม่มีข้อสรุป ถ้าหากว่ามีการพูดกันเรื่องแบบนี้ อยากจะเชิญให้ ผบ.เหล่าทัพ กลับ และให้ฝ่ายเสนาธิการทหาร มาชี้แจงเรื่องงบประมาณ อย่าลืมว่า คุณก่อแก้ว เป็นคณะกรรมาธิการฝ่ายรัฐบาล พูดแบบนี้ในห้องประชุมได้อย่างไร โดยเฉพาะหน่วยงานทหาร ที่เป็นฝ่ายกำลังพลที่รัฐบาลดูแลอยู่ หากทหารมีการลากสไนเปอร์จริง ทำไมนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จะต้องทำอะไรบ้าง อย่าเอาสีเสื้อมาไว้ในห้องนี้
จากนั้นประธานก็ให้คณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายระวังคำพูด และพิจารณาความเหมาะสม จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ นายก่อแก้ว พูดต่อ โดยนายก่อแก้ว พูดต่อว่าการกระทำของทหารโหดเหี้ยม และที่มาบอกว่ามีชายชุดดำ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มี ทำให้ประธาน พูดขึ้นมาอีกว่าไม่อยากให้พูดเรื่องนี้
หลังจากนั้นนายพิเชษฐ์ กล่าวประท้วงต่อว่า พฤติกรรมเช่นนี้เคยเจอในสมัย นายจักรพันธุ์ ยมจินดา นายยงยุทธ ติยะไพรัช สมัยที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกเชิญให้ออกจากห้องประชุม อาศัยข้อบังคับไม่ใช่จะมาแสดงพฤติกรรมพูดจาเรื่อยเปื่อย ก็อยากจะให้บันทึกการประชุมไปเรื่อย และส่งไปให้พรรคเพื่อไทยดูว่าคณะกรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลคนของท่านเล่นงานหน่วยงานในการกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างไร
จากนั้น นายพัชระ ได้ขอใช้สิทธิ์ประท้วงต่อว่า การให้นายก่อแก้ว พูดว่าทหารไปยิงคน ไปฆ่าคน และที่นายก่อแก้ว ออกมาระบุว่า ไม่มีชายชุดดำ แต่ที่จริงมี พร้อมกับยกหนังสือที่บริษัทตัวเองจัดทำขึ้นตีพิมพ์มาแสดงโชว์ เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีชายชุดดำจริงๆ ซึ่งสิ่งไหนไม่ชัดเจน ก็ไม่อยากให้นายก่อแก้วพูด และปรักปรำทหาร
จากนั้นนายก่อแก้ว ก็พูดว่า ไม่มีเจตนาที่จะว่าทหาร แต่เหตุการณ์วันนั้นทำให้เกิดความสลด อยากให้ ผบ.ทบ. ออกมาขอโทษ เพราะเป็นผู้ที่ถืออาวุธ จะออกมาปฏิเสธไม่ได้ เพราะคนยังติดใจอยู่

** ปชป.นำทีมวอล์กเอาต์

จากนั้น นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ถ้ากรรมาธิการยังมีนิสัยแบบนี้ ประธานการประชุมจะต้องเด็ดขาด หากไม่ปฏิบัติตาม จะวอล์กเอาต์ ซึ่งประธานที่ประชุม ก็ได้ห้ามทั้งสองโดยให้คำนึงถึงความเหมาะสม
ด้านนายนิพิธ บอกว่า ตอนนี้องค์ประชุมไม่ครบ และประธานก็เถียงขึ้นว่า ตอนนี้ครบ แต่นายพินิธ ก็บอกว่าให้นับ และเมื่อนับเสร็จ ก็ไม่ครบองค์ประชุม
นายพิเชษฐ์ กล่าวเสริมว่า อยากให้ประธานได้พิจารณาดูว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น มันเกิดจากใคร คำพูดแต่ละคำที่ออกมาว่าสั่งฆ่าประชาชน พูดแบบนั้นได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นประธานสั่งให้พักการประชุม 15 นาที และได้หารือกับคณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่าย หลังจากนั้นก็เชิญ ผบ.เหล่าทัพออกจากห้องประชุมไปในห้องพักรับรอง โดย ผบ.เหล่าทัพ มีสีหน้ายิ้มแบบเจื่อนๆ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ยังประชุมต่อได้ ในเรื่องงบประมาณ
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 10 นาที เมื่อตกลงกันได้ก็เชิญ ผบ.เหล่าทัพ เข้าประชุมใหม่อีกครั้ง โดยนายก่อแก้ว ได้กล่าวต่อว่า ทราบว่ากองทัพมีความเป็นห่วงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เช่นเดียวกับพวกเราก็มีความเป็นห่วงเช่นกัน แต่ความขัดแย้งทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามพยายามนำสถาบันฯ มาเป็นเครื่องกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าไม่จงรักภักดี
" ผมขอยืนยันว่าไม่มีขบวนการล้มเจ้า มีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย เพียงแต่มีการแอบอ้างเอาสถาบันพระมหากษัตริย์ ไปทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ซึ่ง ผบ.เหล่าทัพ ทุกคนก็เรียนโรงเรียนเตรียมทหารเช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ถูกปลูกฝังให้มีความจงรักภักดี เทิดทูนสถาบัน สำหรับการเรียกร้องประชาธิปไตย ก็ไม่มีการล้มเจ้า ถ้าหากมีเรายืนยันว่าเราไม่เอา แต่ความเป็นจริงมันไม่มี มีเพียงฝ่ายตรงข้ามกล่าวหา ดังนั้นฝ่ายความมั่นคงที่กังวลอยู่ยืนยันได้ว่าไม่มี แต่ยอมรับว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์จริง แต่เป็นเรื่องปกติ เพราะทุกคนในประเทศก็สามารถถูกวิพากษ์ วิจารณ์ได้ แต่ทำเพื่อความปราถนาดีไม่ได้คิดร้ายอะไร ถ้าใครจะมาทำลาย ผมก็ไม่ยอมเช่นเดียว ผมชื่นชม ผบ.ทบ. มีจุดยืนในการปกป้องสถาบันอย่างแข็งแกร่ง” นายก่อแก้ว ระบุ
พล.อ.เสถียร กล่าวชี้แจงงบประมาณเพิ่มเติมว่า การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ถือเป็นงานสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการเพื่อให้มีความปลอดภัยสูงสุด ทุกหน่วยทุกเหล่าทัพ เร่งด่วนให้ความสำคัญสูงสุด โดยการปราบเว็ปไซต์อย่างต่อเนื่อง โดยร่วมกับหน่วยงานอื่น ไม่ได้หยุดนิ่ง ส่วนเรื่องความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ทางสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมของบ 247 ล้านบาท แต่เราได้รับจำนวน 56 ล้าน ก็ได้ดำเนินการสร้างความปรองดองของคนในชาติอย่างต่อเอง ทั้งการจัดสัมมนาสร้างจิตสำนึกให้รักเมืองไทย อบรมความมั่นคงของชาติ ประชาชนและเยาวชนด้วย นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพให้เล็กลง และมีแผนตั้งแต่ปี 2550-2555 และปรับปรุงแผนแม่บทตั้งแต่ 2555-2559 เพื่อให้กองทัพมีความเล็ก และมีประสิทธิภาพ โดยจะเห็นว่างบประมาณจะเพิ่มถึง 57 เปอร์เซ็ต์ ทั้งงบเพิ่มเงินเดือน และมีแผนที่จะลดกำลังพลไปถึง 20 ปี โดยจะลงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์

**ทหารไม่เคยทำให้เสียดินแดน

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การชี้แจงงบประมาณในวันนี้มีคำถามที่เกี่ยวข้องกับกองทัพบกหลายคำถาม กว่า 50 หัวข้อ ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจตนจึงอยากชี้แจงว่า ภารกิจของกองทัพมีทั้งการเตรียมกำลัง และการพัฒนากองทัพ รวมถึงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ดังนั้นงบประมาณส่วนใหญ่ไปอยู่ภารกิจโดยตรงทางด้านการทหาร สิ่งที่อยากเรียนคือการที่เป็นทหารของประชาชนและทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นจอมทัพไทย การรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน แม้ว่างบประมาณจะมากหรือไม่มาก ประเทศไทยไม่เคยเสียดินแดน แม้ว่าบางเรื่องอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาลโลกก็ไม่เสีย วันนี้ประเทศชาติเปลี่ยนไป แต่กองทัพไม่เคยทำให้เสียดินแดน นี่คือผลผลิต หากเอาระเบียบของพลเรือนมา ก็สามรรถทำได้เพียง 2 ยุทธศาสตร์ ปัจจุบันที่ทำอยู่เกี่ยวกับการฝึก และ สวัสดิการ การเป็นอยู่ ยุทธปัจจัย การจัดซื้อต่าง ๆ อย่าพูดว่าทหารพูดว่าทุจริต ทหารทำตามสำนักนายกรัฐมนตรี อย่าพูดก่อน ถ้ารู้ว่าตรงไหนทุจริต ให้แจ้งมา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าสำหรับงบประมาณเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองนั้น พยายามปลุกฝังความรักชาติ ส่วนกองทัพยุคใหม่ ต้องมองให้ชัดเจน ทุกเหล่าทัพตามหน้าที่และช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ พร้อมกับลดกำลังพลให้น้อยลง แต่หากเกิดภัยพิบัติหรืออะไรขึ้นทุกคนจะต้องช่วยกันรับผิดชอบ

** เผยคนไทยถูกพม่าจับกว่า 800

ส่วนเรื่องทหารพม่าจับกุมคนไทยนั้น ทางกองทัพบกก็พยายามเจรจากันอยู่ แต่ตนไม่อยากพูดให้เสียกำลังใจ เพราะมีประชาชนไม่เคารพกฎหมาย แต่ขณะนี้เร่งเจรจา มันผิดมากมาย ตอนนี้พยายามพูดคุยจากเดิมมีการจับกุมไปกว่า 800 คน ตอนนี้เหลือประมาณ 90 คน เพราะมีอาวุธ และสิ่งผิดกฎหมายมีการต่อสู้ ดังนั้นเมื่อคนไทยก็จะพยายามช่วยกัน ทหารทำตั้งแต่วันแรกถึงวันนี้ กระทรวงกลาโหมสั่งการมาให้เร่งดำเนินการ นายกรัฐมนตรี ก็สั่งการมาเช่นเดียวกัน ขณะนี้ถือว่ามีความก้าวหน้าไปตามลำดับ และในวันที่ 22 ก.ค.นี้ ประธนาธิบดีพม่า ก็จะเดินทางมาเยือนประเทศไทย แต่ปัญหาขณะนี้มีปัญหาเรื่องอาวุธ ที่ผ่านมาทหารก็แจ้งเตือนไปแล้วแต่ก็ไม่ยอมฟังกัน

**ขอให้เลิกถามเรื่องปฏิวัติ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับการชดเชยเบี้ยเลี้ยงกำลังพลนั้นในปีสำหรับทหารพรานขณะนี้ได้รับมา 120 บาทต่อวัน นายสิบได้วันละ 240 บาท นายทหารได้ 400 กว่าบาท ชีวิตมีค่าเท่านี้ แต่ไม่บ่น เราทำให้ทุกอย่าง ถ้าให้มากกว่านี้ก็แฮ้ปปี้ ในส่วนของทหารพราน อยากถามว่าเป็นแรงงาน หรือ กรรมกรหรือไม่ ต้องเขียนให้ชัดว่าเบี้ยเลี้ยงทหารต้องได้ 300 บาทเท่ากันทั้งประเทศ ซึ่งถามว่ารัฐบาลจะรับไหวหรือไม่ เมื่อไม่ได้ก็ต้องว่ากันตามหลักการ ด้วยกติกา และกฎหมาย ทหารอยู่ในกรอบกติกาอย่าไปดึงเขาลงมา อย่าไปล้างสมองว่าเขาต้องได้เท่าไหร่ ตนรักลูกน้อง เห็นใจเพราะเขาเป็นคนจน ส่วนการปล้นปืนที่กองพันพัฒนา ที่จ.นราธิวาส เมื่อปี 2547 นั้น กำลังติดตามอยู่ ได้คืนมาแล้ว 100 กว่ากระบอก ก็ต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นอีก
“ส่วนข่าวปฏิวัติเรื่องนี้ไม่ต้องมาถามอีกแล้ว อย่าถามอีก อย่าพูดคำนี้อีก ไปถามคนพูด ผมไม่เคยพูด สำหรับเรื่องยุทโธปกรณ์ ในอาเซียนเราถือว่าเป็นกองทัพที่มีมากที่สุดในอาเซียน ซึ่งเป็นยุทโธปกรณ์ที่จัดหามาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น บางอย่างอายุ 40 ปี ส่วน ฮ. 100 ลำใช้มา 30 ปี ต้องมีการซ่อมบำรุง แต่เมื่อไม่มีงบประมาณตามวงรอบ ก็ไม่ได้ซ่อม ทำให้ส่วนที่เสียก็เสียเพิ่มขึ้น เมื่อปีงบประมาณใหม่ก็ต้องใช้งบประมาณซ่อมมากขึ้น” ผบ.ทบ.กล่าว

** จัดการเว็บหมิ่นสถาบันฯ

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีที่มีการพูดถึงภัยคุกคามสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น อยากให้เข้าใจว่าประเทศอยู่ด้วยกฎหมาย ทหารไม่ได้ถือกฎหมาย แต่ตำรวจเป็นผู้ถือกฎหมาย แต่ทหารรับผิดชอบในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ซึ่งทุกคนรับผิดชอบเหมือนกันหมด ไม่ใช่เฉพาะทหาร ถ้ารู้ว่าใครพูดจาหมิ่นฯ ก็ไปแจ้งความ โดยมีคณะกรรมการฯ ของตำรวจ และ คณะกรรมการฯของกระทรวงยุติธรรม กรองอีกชั้นเพื่อให้ไปเป็นไปตามที่ทรงรับสั่งไว้ว่าไม่อยากให้เป็นปัญหาต่อประชาชน ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณ
“ แต่ก็มีคนชั่วที่นำประโยชน์เหล่านี้ มาทำต่อเนื่อง ก็รู้อยู่แล้วว่ามีใครบ้าง สิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ก็ดำเนินคดีไปจำนวนมาก โดยทหาร ตำรวจ ยุติธรรม ที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการฯ ได้ร่วมมือกันทำงาน ทั้งเว็บไซต์สื่อสิ่งพิมพ์ทั้งในประเทศ นอกประเทศ มีหลักฐานรายชื่อทั้งหมด แต่ทหารจะทำเลยไม่ได้ก็ต้องส่งไปทางตำรวจดำเนินการ สิ่งที่สำคัญก็ต้องทำคือต้องห้ามปรามแก้ไข โดยมีรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้จึงตั้งคณะทำงานขึ้นมา ซึ่งคณะของเราก็ไปทำงานเชื่อมกับคณะกรรมการฯ ของรัฐบาล แต่คนทำงานมีแค่ไม่กี่คน ประมาณ 10 คน พิมพ์ทั้งวัน พอปิดตรงนี้ก็ไปเปิดตรงโน่น ซึ่งการปิดเว็บไซต์ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไปปิด แต่ต้องไปขอคำสั่งศาล” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะนี้ได้เสนอกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ หรือ ไอซีที ปิด 14 เว็บไซต์ 74,235 ยูอาร์แอล ดำเนินคดีไปแล้ว103 ราย ไปพบปะพูดคุยไม่ให้ทำอีกกว่า 100 ราย เพราะไม่ต้องการใช้กฎหมายรุนแรงพร่ำเพรื่อ เพราะจะไปเข้าล็อคอีกว่าสถาบันฯเอากฎหมายไปปกป้องตัวเอง ทุกอย่างละเอียดอ่อน ไม่ใช่อยากทำอะไรก็ทำ ทุกเหล่าทัพทำเหมือนกันหมด ในทางเปิดก็ใช้การตอบโต้ในทางอินเตอร์เน็ต เมื่อปี 2544 เปิดพบ 8,000 ยูอาร์แอล ต่อเดือน จนปีนี้พบถึง 10,000 ยูอาร์แอล ต่อเดือน
“ตราบใดที่มีการทะเลาะกันก็จะมากขึ้น ถ้าเลิกทะเลาะก็จะลดลง เมื่อมีการทะเลาะกันอยู่อย่างนี้ ฝ่ายหนึ่งนำสถาบันมาปกป้อง อีกฝ่ายโจมตีสถาบัน ซึ่งพระองค์ท่านไม่เคยลงมาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น ส่วนใหญ่เป็นคนล่างๆ ใต้ๆ สถาบัน แต่ที่พูดเพราะเขาก็รักสถาบัน จึงตีกันไปเรื่อยๆ วิธีแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคืออย่านำสถาบันลงมา อย่าพูดเรื่องสถาบัน ใครผิดก็ว่าไปตามผิด นำกฎหมายมาดำเนินการ เรื่องนี้ก็จบไป ทั้งนี้ผมคิดว่ามีงบประมาณหมื่นล้านก็แก้ไม่ได้ ถ้ายังทะเลาะกันอย่างนี้ และอย่าดึงท่านลงมา ผมยืนยันว่าท่านไม่เคยเกี่ยวข้องทุกเรื่อง สำหรับสถานีวิทยุชุมชน เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการ แจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 37 สถานี ทุกคนมีคดีทั้งสิ้นแต่ขณะนี้ไปปิดไม่ได้ เพราะมี พรบ.วิทยุชุมชนอยู่ ส่วนที่กล่าวถึงชายชุดดำนั้น ทั้งหมดมีอยู่ 14 ราย ดำเนินคดี ตัดสินจำคุก 38 ปีก็มี ต้องไปสู้กันในศาล อย่าพูดกันนอกศาล”ผบ.ทบ. กล่าว

**ทหารไม่อยากยุ่งเรื่องความขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สำหรับงบฯปรองดองที่บรรจุอยู่ใน พรบ.งบประมาณนั้น ในส่วนของทหารก็ไม่อยากเห็นบ้านเมืองเป็นแบบนี้ ต้องถามว่าใครจะปรองดองกับใคร คน 65 ล้านคนทะเลาะกันหมดหรือเปล่า ถ้าใช่ค่อยว่ากัน ถ้าไม่ใช่ก็ต้องไปหา stakeholder หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดว่ามีใครบ้างที่ทะเลาะกันอยู่ ต้องแก้ไขให้ได้ แล้วค่อยเอาทหารไปร่วมกันอีกครั้ง ถ้านำทหารเข้าไปตอนนี้เท่ากันไปเพิ่มความขัดแย้งขึ้นมาอีก ก็จะมองว่าทหารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและความขัดแย้งทุกครั้งไป ก็ต้องไปเคลียร์กันให้ได้แล้วกัน แล้วมาบอกทหาร ซึ่งทหารพร้อมปฏิบัติทุกประการตามคำสั่งของรัฐบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น