xs
xsm
sm
md
lg

กมธ.วิฯ งบปี 56 วุ่น! “ก่อแก้ว” ป่วนใช้เวทีด่าทหาร ฝ่ายค้านเซ็งจนวอล์กเอาต์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง
กมธ.วิฯ งบปี 56 พิจารณางบกลาโหม 1.8 แสนล้าน บิ๊กท็อปบูตตบเท้าแจงเอง “ก่อแก้ว” โผล่ด่าทหารปราบก๊วนเผาเมือง เย้ยถ้าคนไทยกินหญ้าป่านนี้เลือกประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลแล้ว “พิเชษฐ” จวกไม่ใช่เวทีทำตามใจชอบ ซัดอย่าเอาสีเสื้อเข้ามาที่ประชุม ก่อนพา กมธ.ซีกฝ่ายค้านวอล์กเอาต์

วันนี้ (12 ก.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.00 น. พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้เข้าชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม โดยมี พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ทำหน้าที่เป็นประธาน และนายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล เป็นรองประธานในการประชุม โดยพล.อ.เสถียร ได้ชี้แจงว่างบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ปี 2556 จำนวน 188,011 ล้านบาท โดยได้รับงบประมาณเพิ่มจากปีที่แล้วประมาณ 12,144 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.20 โดยงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ได้จัดสรรเป็นงบประมาณเพื่อดำเนินการตามวิสัยทัศน์ของกระทรวงเป็นองค์กรที่มีกองทัพชั้นนำ และมีบทบาทความมั่นคงของรัฐ และความมั่นคงในภูมิภาค เพื่อดำเนินการตามยุทธศาสตร์ ทั้งการสร้างรากฐานการพัฒนาให้เกิดความสมดุลในสังคม และความมั่นคงของรัฐ

สำหรับงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหมประกอบด้วย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม 6,133 ล้านบาท กรมราชองครักษ์ 580 ล้านบาท กองบัญชาการกองทัพไทย 14,875 ล้านบาท กองทัพบก 88,843 ล้านบาท กองทัพเรือ 35,205 ล้านบาท และ กองทัพอากาศ 33,977 ล้านบาท และสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศองค์การมหาชน 1,196 ล้านบาท ทั้งนี้กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2555 จำนวน 168,667 ล้านบาทเศษ ได้เพิ่มจากปีงบประมาณ 2554 จำนวน 165 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.09 สำหรับการดำเนินการตามแผนปฏิบัติราชการปี 2555 จำนวน 6 ยุทธศาสตร์ มีผลการเบิกจ่ายงบประมาณ 30 มิ.ย.2555 จำนวน 117,001 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 60.3 ของงบประมาณ สูงกว่าการเบิกจ่ายในปีงบประมาณที่ผ่านมา แต่ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดไว้ร้อยละ 67

พล.อ.เสถียร กล่าวด้วยว่า กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับภารกิจของกระทรวงกลาโหมทีเป็นหน่วยหลักในการดูแลรักษาความมั่นคงภายในประเทศ มีกำลังพลปฏิบัติภารกิจ จำนวน 4.5 แสนคน ใช้งบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายทั้งเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง ค่าตอบแทนกำลังพล ประมาณ 103,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 57 ของงบประมาณ ส่วนงบประมาณ 38,000 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 21 เป็นงบประมาณในการปฏิบัติภารกิจพื้นฐาน ประกอบด้วย งบประมาณการทรงชีพ การฝึกศึกษา การปฏิบัติภารกิจอื่น ๆ ที่ได้รับมอบหมายทั้งการป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงชายแดน การป้องกันยาเสพติด การสกัดกั้นแรงงานต่างด้าว หรือ ผู้หลบหนีเข้าเมือง การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเสริมสร้างความร่วมมือความมั่นคง การถวายความปลอดภัยแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมวงศานุวงศ์ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานช่วยเหลือประชาชน

ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อว่า สำหรับงบประมาณที่เหลือเป็นงบประมาณในการเสริมสร้าง ขีดความสามารถของกองทัพ จำนวน 38,800 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 21 ซึ่งวงเงินดังกล่าวยังสามารถแบ่งออกเป็นโครงการที่ภาระผูกพันเดิมจำนวน 23,800 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 13 รวมถึงการเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพในปีงบประมาณ 2556 จำนวน 15,000 ล้านบาท หรือ คิดเป็นร้อยละ 8 ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมากในการเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพให้มีความเข้มแข็ง และ ทันสมัย ทัดเทียมกับกองทัพในอาเซียน ดังนั้นข้อจำกัดงบประมาณดังกล่าวกองทัพไม่สามารถเสริมสร้างขีดความสามารถของกองทัพตามแผนพัฒนาของกองทัพได้ งบประมาณส่วนใหญ่ที่ได้รับการจัดสรรจะถูกนำไปใช้ในเรื่องการปรับปรุงอาวุธที่ใช้งานมานานเพื่อให้ดำรงสภาพใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ส่วนจะจัดหาใหม่เพื่อทดแทนของเดิมยังดำเนินการได้ต่ำกว่าแผนที่ได้กำหนดไว้ตามแผน 10 ปี ดังนั้นเมื่อข้อจำกัดของงบประมาณทางกระทรวงกลาโหม จะบริหารจัดการงบประมาณอย่างโปร่งใส และให้เกิดประสิทธิภาพ ในการรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช และ อธิปไตย รวมถึงการป้องกันผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาในยามขับขัน และเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนและประเทศชาติ

หลังจากนั้นประธานในที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้คณะกรรมการซักถามเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณกับ ผบ.เหล่าทัพ โดย คณะกรรมการส่วนใหญ่ได้แสดงความเป็นห่วง การดูแลเรื่องความมั่นคง ที่เกี่ยวข้องกกับความขัดแย้งทางความคิด การปกป้องเทิดทูลสถาบัน การดูแลเว็ปไซด์หมิ่น สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา

จนมาถึง นายวัชระ เพรชทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ ได้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการปล้นปืนของเจ้าหน้าที่ไปว่าได้คืนมาหมดหรือยัง และที่ยังไม่ได้คืนจะมีการดำเนินการอย่างไรเพื่อให้มีการก่อเหตุ รวมถึงการตั้งคำถามไปถึงกรณีที่มีการปราศรัยบนเวทีที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่มีแกนนำคนหนึ่งไปปราศรัยว่าจะเปลี่ยนการปกครองประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยแบบกัมพูชา พร้อมทั้งโชว์เอกสารจากสื่อที่เกี่ยวกับปราศรัยบนเวทีในวันนั้น อยากทราบว่ากระทบต่อสถาบันหรือไม่และจะดำเนินการอย่างไรเพราะแนวความคิดนี้มีการขยาย และเผยแพร่ต่อไปเรื่อย ๆ รวมถึงมีโอกาสหรือไม่ที่จะเกิดการรัฐประหาร

จากนั้น นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในคณะกรรมาธิการ ได้กล่าวเสริมว่า คนที่ไปพูดในเวลานั้นคือ นายอดิศร เพียงเกษ ขึ้นไปพูดเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นความข่มขืน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีใครออกมาว่าอะไร ซึ่งตนก็ไม่ได้โทษกองทัพ แต่ก็อยากให้กระทรวงกลาโหมมีข้อมูลอันนี้เอาไว้ ส่วนมีแล้วจะไปทำอย่างไรก็แล้วแต่ แต่อย่างให้มีเอาไว้ นอกจากนี้ นายนิพิฎฐ์ ยังฝากไปถึง ผู้บัญชาการทหารอากาศ เกี่ยวกับวิทยุชุมชนคลื่น 104.1 จังหวัดปทุมธานีที่อยู่ข้าง ๆ กองทัพอากาศ แต่ก็ไม่เห็นว่าผู้บัญชาการทหารอากาศจะทำอะไร อยากให้ผู้บัญชาการทหารอากาศเข้ไปเปิดฟัง และฟังรายละเอียดว่ามันเข้าข่ายหรือไม่ อยากให้ท่านบันทึกจะเอาไปส่งให้ตำรวจ หรือคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็ได้ แต่ที่ผ่านมากลับนิ่งดูดราย และผลักภาระ

สำหรับการสร้างความปรองดอง กองทัพมีหน้าที่ดำเนินการที่ดีและถูกต้องแล้ว แต่เขาอยากให้กองทัพกลับไปสร้างความปรองดองในหน่วยของตัวเองมากกว่าไปสร้างข้างนอก เพราะสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้ไม่ว่าทหารจะออกไปพูดอย่างไรก็จะถูกต่อต้าน ก็อยากให้ไปสร้างในหน่วยงานของตัวเองทำให้ทุกคนเข้าใจหลักการปรองดองที่ตรงกัน ซึ่งผมได้ยินมาว่า ทหารชั้นสัญญาบัตรมีความคิดเห็นในเรื่องความปรองดองแตกต่างกัน" นายนิพิฎฐ์ กล่าว

ทั้งนี้นายนิพิฎฐ์ ได้แสดงความชื่นชม ผู้บัญชาการทหารบก ในกรณีที่กองทัพบกมาชี้แจงเหตุการณ์ศพที่วัดปทุมวนาราม ถือเป็นเรื่องดีแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่กระทบกับกองทัพก็ให้มาชี้แจง ส่วนการทำงานระหว่างกองทัพกับประชาชนยังมีปัญหาในเรื่องการสื่อสาร ส่วนเรื่องปฏิวัติไม่อยากจะทำว่าจะมีเหตุการณ์ปฏิวัติหรือไม่เพราะทุกอย่างขึ้นกับสถานการณ์ที่จะพาไป ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ต้องตอบก็ได้ และเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการทำผลโผมีประชาชนเหตุด้วย 93 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันนี้ ถ้าถามว่าเห็นด้วยกับการปฏิวัติหรือไม่ ตนเชื่อว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ไม่เห็นด้วย ก็เพราะสถานการณ์ที่มันพาไป และสถานการณ์อีกเช่นกันที่จะพิสูจน์ว่าอะไรผิดอะไรถูก แต่สิ่งสำคัญคนไทยเขาลืมง่าย

จากนั้น นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมการ และ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า ตนยึดนโยบายแก้ไขแต่ไม่แก้แค้น เหมือนกับ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็เป็นผู้ที่เสียสละ และทำงานเพื่อบ้านเมือง แต่ในกองทัพเองก็มีทหารที่มีความกระหายอยากได้ตำแหน่ง มีคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะทุกหน่วยงานก็มี แต่อยากฝากว่าจะทำอย่างไรที่จะขจัดคนเหล่านี้ให้ออกไปจากออกก่อน แต่ในส่วนของงบประมาณทหาร จะสังเกตได้ว่าเพิ่มขึ้นทุกปีหากเปรียบเทียบกับงบของแผ่นดินถือว่ามาก ขณะนี้ประเทศไม่ต้องไปทำสงคราม แต่การเอางบประมาณไปทุ่มให้กับกองทัพเป็นจำนวนมาก ๆ จะทำให้ขาดโอกาสการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ตนมีอยู่ 2 ประเด็นที่จะฝาก คือ กรณีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีคนว่ากันว่ามีทหารบางกลุ่มอาศัยวิกฤตสร้างสถานการณ์เพื่อของบเพื่อทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่สงบ ซึ่งตนไม่ได้คิดว่าจะมีทหารชั่วแบบนั้น แต่ก็อยากขอความชัดเจนเพราะมีการพูดกันหลายที่ ส่วนเรื่องที่สองคือการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 91 ศพ ถือว่าเป็นสิ่งที่ยังค้างคาใจประชาชน ทหารโหดเหี้ยม ทหารเอาสไนซ์เปอร์มายิงคนไม่เลือกหน้า

หลังจากนั้น นายวัชระ เพชรทอง ลุกขึ้นประท้วงว่า เป็นคำพูดไม่เหมาะสมที่ระบุว่า ทหารโหดเหี้ยม ทหารชั่ว ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องใช้วิจารณญาณ และพูดอยู่บนพื้นฐานความจริง และอยากให้หลีกเลี่ยงในเรื่องนี้ และไม่ให้มีการบันทึกในที่ประชุม โดยประธานก็รับปากว่าจะไม่มีการบันทึกไว้ในที่ประชุม

ด้าน นายพิเชษฐ์ พันธุ์วิชาญกุล ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ กล่าวว่า ตามประเพณีเรื่องแบบนี้เราไม่ทำกันที่มาบอกว่าทหารลากสไนซ์เปอร์ไปยิงประชาชนไม่เลือกหน้า ซึ่งเราก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง การตรวจสอบยังไม่มีข้อสรุป ถ้าหากว่ามีการพูดกันเรื่องแบบนี้อยากจะเชิญให้ ผบ.เหล่าทัพ กลับ และให้ฝ่ายเสนาธิการทหาร มาชี้แจงเรื่องงบประมาณ อยากลืมว่า คุณก่อแก้ว เป็นคณะกรรมาธิการฝ่ายรัฐบาล พูดแบบนี้ในห้องประชุมได้อย่างไร โดยเฉพาะหน่วยงานทหารที่เป็นฝ่ายกำลังพลที่รัฐบาลดูแลอยู่ หากทหารมีการลากสไนซ์เปอร์จริง ทำไมนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะต้องทำอะไรบ้าง อย่าเอาสีเสื้อมาไว้ในห้องนี้

จากนั้นประธานก็ให้คณะกรรมาธิการทั้งสองฝ่ายระวังคำพูด และพิจารณาความเหมาะสม จากนั้นก็เปิดโอกาสให้ นายก่อแก้ว พูดต่อ โดยนายก่อแก้ว พูดต่อว่าการกระทำของทหารโหดเหี้ยม และที่มาบอกว่ามีชายชุดดำ ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่มี ทำให้ประธานพูดขึ้นมาอีกว่าไม่อยากให้พูดเรื่องนี้

หลังจากนั้นนายพิเชษฐ์ กล่าวประท้วงต่อว่า พฤติกรรมเช่นนี้เคยเจอในสมัย นายจักรพันธุ์ ยมจินดา นายยงยุทธ ติยะไพรัช สมัยที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกเชิญให้ออกจากห้องประชุม อาศัยข้อบังคับไม่ใช่จะมาแสดงพฤติกรรมพูดจาเรื่อยเปื่อย ก็อยากจะให้บันทึกการประชุมไปเรื่อย และส่งไปให้พรรคเพื่อไทยดูว่าคณะกรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลคนของท่านเล่นงานหน่วยงานในการกำกับดูแลของรัฐบาลอย่างไร

ขณะที่ นายวัชระ ได้ขอใช้สิทธิ์ประท้วงต่อว่า การให้นายก่อแก้วพูดว่าทหารไปยิงคน ไปฆ่าคน และที่นายก่อแก้ว ออกมาระบุว่า ไม่มีชายชุดดำ แต่ที่จริงมี พร้อมกับยกหนังสือที่บริษัทตัวเองจัดทำขึ้นตีพิมพ์มาแสดงโชว์ เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีชายชุดดำจริง ๆ ซึ่งสิ่งไหนไม่ชัดเจนก็ไม่อยากให้นายก่อแก้วพูด และปักปรำทหาร

จากนั้น นายก่อแก้ว กล่าวว่า ไม่มีเจตนาที่จะว่าทหาร แต่เหตุการณ์วันนั้นทำให้เกิดความสลด อยากให้ ผบ.ทบ. ออกมาขอโทษ เพราะเป็นผู้ที่ถืออาวุธจะออกมาปฏิเสธไม่ได้ เพราะคนยังติดใจอยู่

ด้าน นายพิเชษฐ์ จึงระบุว่า ถ้ากรรมาธิการยังมีนิสัยแบบนี้ ประธานการประชุมจะต้องเด็ดขาด หากไม่ปฏิบัติตาม จะว็อคเอาท์ ซึ่งประธานที่ประชุมก็ได้ห้ามทั้งสองโดยให้คำนึงถึงความเหมาะสม

ขณะที่ นายนิพิฎฐ์ บอกว่า ตอนนี้องค์ประชุมไม่ครบ และประธานก็เถียงขึ้นว่าตอนนี้ครบ แต่นายนิพิฎฐ์ ก็บอกว่า ให้นับ และเมื่อนับเสร็จก็ไม่ครบองค์ประชุม นายพิเชษฐ์ กล่าวเสริมว่า อยากให้ประธานได้พิจารณาดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้น มันเกิดจากใคร คำพูดแต่ละคำที่ออกมาว่าสั่งฆ่าประชาชน พูดแบบนั้นได้อย่างไร





กำลังโหลดความคิดเห็น