ASTVผู้จัดการรายวัน – กรมศุลกากรเร่งปรับตัวรับเออีซีหลังศึกษาพบปี 58 หากประเทศสมาชิกใช้สิทธิเต็มที่จะสูญรายได้กว่าปีละ 8 พันล้านบาท พร้อมเดินหน้าปรับปรุงด่านการค้าชายแดนอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการมากขึ้น
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดี กรมศุลกากรเปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้ประมาณการการจัดเก็บรายได้ เมื่อประเทศไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ในปี 2558 จะทำให้รายได้หายไป 7-8 พันล้านบาท ภายใต้การนำเข้าจากปกติในปัจจุบัน แต่หากมากกว่านั้นก็จะยิ่งทำให้สูญเสียรายได้เพิ่มขึ้น จากอัตราภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ เพราะการนำเข้าในกลุ่มประเทศในเอเชียอย่าง จีน เกาหลี ญี่ปุ่นและอินเดียรวมกับอาเซียนมีสัดส่วนประมาณ 50% แม้ปัจจุบันอัตราภาษีเป็นศูนย์จะเริ่มมีผลแล้ว แต่ผู้ประกอบการยังมาใช้สิทธิน้อย ประมาณ 30% เท่านั้น เพราะยุ่งยากด้านเอกสารหลักฐานที่ต้องพิสูจน์ถิ่นกำเนิดสินค้า จึงยอมที่จะเสียภาษีในอัตรา 5-10% แทน
อย่างก็ตาม แม้รายได้ศุลกากรจะหายไป แต่หากมีการนำเข้าเพิ่มจะเป็นประโยชน์ในแง่ภาษีอื่นๆ เช่นภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากร หรือภาษีสรรพสามิตที่จะยังต้องเสียในอัตราปกติ เพราะเป็นภาษีในประเทศ จึงทำให้กรมศุลกากรต้องเร่งปรับตัวด้วยการปรับปรุงและพัฒนาด่านศุลกากรตามแนวชายแดนให้เพิ่มความสะดวกมากขึ้น เพราะสัดส่วนการค้าชายแดนสามารถจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด จึงต้องปรับปรุงให้มีความเหมาะสมจากปัจจุบันที่มีทั้งสิ้น 46 ด่าน อาจจะพิจารณาเพิ่มเติมเช่น ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ตามที่ผู้ประกอบการเรียกร้อง เพราะติดชายแดนลาว และด่านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี เพื่อรองรับท่าเรือทวาย ประเทศพม่า
“แม้ว่าจะจะเกิดปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะที่ยุโรปในขณะนี้ แต่ก็ยังไม่มีผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศ ทั้งการส่งออกและนำเข้าในระยะสั้น เพราะไทยส่งออกโดยตรงไปยุโรปไม่มากนัก แต่ในระยะยาว เกรงว่าจะกระทบต่อประเทศที่ค้าขายกับไทย และส่งออกไปยุโรปจำนวนมาก อย่างอินเดีย เกาหลี จีน และญี่ปุ่น และจะมีผลกระทบมายังไทยทางอ้อม แต่ปีงบประมาณ 2555 คาดว่า จะจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมาย 1.2 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 1.05 แสนล้านบาท และในปี 2556 เพิ่มเป็น 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนเพิ่มไม่ได้มากนัก จากข้อจำกัดจากข้อตกลงทางการค้าเสรี(เอฟทีเอ)” นายสมชายกล่าว
นายสมชายกล่าวถึงการนำเข้ารถยนต์ทั้งคันว่า กรมศุลกากรจะต้องปล่อยให้มีการนำเข้ามาก่อน เพราะไม่ได้มีข้อห้ามนำเข้า เหมือนการนำเข้าโครงรถยนต์เก่า เพื่อมาประกอบเป็นรถจดประกอบ แล้วจึงตรวจสอบย้อนหลังว่า มีการนำเข้าผิดประเภทหรือไม่ โดยสำนักงานตรวจสอบอากรของกรมศุลกากรได้เข้าตรวจสอบย้อนหลังพบว่า มีการกระทำผิด 20 ราย สามารถเรียกเก็บอากรคืนได้ประมาณ 45 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 60 กว่าบริษัท.
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดี กรมศุลกากรเปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้ประมาณการการจัดเก็บรายได้ เมื่อประเทศไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(เออีซี)ในปี 2558 จะทำให้รายได้หายไป 7-8 พันล้านบาท ภายใต้การนำเข้าจากปกติในปัจจุบัน แต่หากมากกว่านั้นก็จะยิ่งทำให้สูญเสียรายได้เพิ่มขึ้น จากอัตราภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ เพราะการนำเข้าในกลุ่มประเทศในเอเชียอย่าง จีน เกาหลี ญี่ปุ่นและอินเดียรวมกับอาเซียนมีสัดส่วนประมาณ 50% แม้ปัจจุบันอัตราภาษีเป็นศูนย์จะเริ่มมีผลแล้ว แต่ผู้ประกอบการยังมาใช้สิทธิน้อย ประมาณ 30% เท่านั้น เพราะยุ่งยากด้านเอกสารหลักฐานที่ต้องพิสูจน์ถิ่นกำเนิดสินค้า จึงยอมที่จะเสียภาษีในอัตรา 5-10% แทน
อย่างก็ตาม แม้รายได้ศุลกากรจะหายไป แต่หากมีการนำเข้าเพิ่มจะเป็นประโยชน์ในแง่ภาษีอื่นๆ เช่นภาษีมูลค่าเพิ่มของกรมสรรพากร หรือภาษีสรรพสามิตที่จะยังต้องเสียในอัตราปกติ เพราะเป็นภาษีในประเทศ จึงทำให้กรมศุลกากรต้องเร่งปรับตัวด้วยการปรับปรุงและพัฒนาด่านศุลกากรตามแนวชายแดนให้เพิ่มความสะดวกมากขึ้น เพราะสัดส่วนการค้าชายแดนสามารถจัดเก็บภาษีได้ประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด จึงต้องปรับปรุงให้มีความเหมาะสมจากปัจจุบันที่มีทั้งสิ้น 46 ด่าน อาจจะพิจารณาเพิ่มเติมเช่น ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ตามที่ผู้ประกอบการเรียกร้อง เพราะติดชายแดนลาว และด่านพุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี เพื่อรองรับท่าเรือทวาย ประเทศพม่า
“แม้ว่าจะจะเกิดปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะที่ยุโรปในขณะนี้ แต่ก็ยังไม่มีผลกระทบต่อการค้าขายระหว่างประเทศ ทั้งการส่งออกและนำเข้าในระยะสั้น เพราะไทยส่งออกโดยตรงไปยุโรปไม่มากนัก แต่ในระยะยาว เกรงว่าจะกระทบต่อประเทศที่ค้าขายกับไทย และส่งออกไปยุโรปจำนวนมาก อย่างอินเดีย เกาหลี จีน และญี่ปุ่น และจะมีผลกระทบมายังไทยทางอ้อม แต่ปีงบประมาณ 2555 คาดว่า จะจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมาย 1.2 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 1.05 แสนล้านบาท และในปี 2556 เพิ่มเป็น 1.15 แสนล้านบาท ซึ่งสัดส่วนเพิ่มไม่ได้มากนัก จากข้อจำกัดจากข้อตกลงทางการค้าเสรี(เอฟทีเอ)” นายสมชายกล่าว
นายสมชายกล่าวถึงการนำเข้ารถยนต์ทั้งคันว่า กรมศุลกากรจะต้องปล่อยให้มีการนำเข้ามาก่อน เพราะไม่ได้มีข้อห้ามนำเข้า เหมือนการนำเข้าโครงรถยนต์เก่า เพื่อมาประกอบเป็นรถจดประกอบ แล้วจึงตรวจสอบย้อนหลังว่า มีการนำเข้าผิดประเภทหรือไม่ โดยสำนักงานตรวจสอบอากรของกรมศุลกากรได้เข้าตรวจสอบย้อนหลังพบว่า มีการกระทำผิด 20 ราย สามารถเรียกเก็บอากรคืนได้ประมาณ 45 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการตรวจสอบอีก 60 กว่าบริษัท.
