นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีหนี้สาธารณะที่มีความกังวลว่า อาจกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากรัฐบาลยังดำเนินนโยบายในลักษณะนี้ ว่า ตนคิดว่าสถานการณ์เศรษฐกิจขณะนี้ และความไม่แน่นอนในยุโรป มีค่อนข้างมาก ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่น และการส่งออก รัฐบาลจึงต้องทบทวนว่า การใช้จ่ายเงินของรัฐบาล มีประสิทธิภาพคุ้มค่า และจะช่วยเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด เพราะภาระหนี้สิ้นเพิ่มขึ้นจากตัวเลขที่ออกมา เราเห็นชัดเจนว่า มีหลายนโยบายที่ถูกท้วงติง เช่น นโยบายจำนำพืชผลทางการเกษตร หรือนโยบายที่ใช้เงินค่อนข้างสูง ก็ควรที่รัฐบาลจะต้องทบทวน
“รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายประชานิยม เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งความผันผวนด้านเศรษฐกิจ และการรองรับภัยพิบัติในหลายเรื่อง การใช้เงินก้อนใดที่ไม่คุ้มค่า ก็ควรที่จะทบทวน ผมเห็นว่านโยบายของรัฐบาลหลายนโยบายแม้จะมีเจตนาที่ดี แต่มีวิธีการอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ในการใช้จ่ายเงินก็ควรจะทบทวนด้วย โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวซึ่งมีภาระมากมายมหาศาล เฉพาะเริ่มต้นยังต้องหาเงินมาหมุนเวียนมากกว่า 2แสนล้าน ซึ่งเป็นยการทำงานเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น และถ้าต้องทำทุกปีภาระจะต้องเพิ่มขึ้น เพราะเกษตรกรปลูกข้าวกันปีละ 2-3 รอบ ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะทบทวนเพราะล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยืนยันว่ายกเลิกนโยบายรับจำนำข้าวไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลทำทุกอย่างเป็นเรื่องการเมือง และผลักภาระหนี้สิ้น การเงินการคลัง ไปสู่อนาคต ก็ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมในหลายด้าน เพราะเงินทุกบาทที่ใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่าสามารถนำมาพัฒนาด้านอื่นๆได้ เพราะถ้าปัญหาการเงิน การคลังรุนแรงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบเรื่องดอกเบี้ย และความสามารถในการหาเงินมาลงทุน รวมทั้งความเชื่อมั่นด้วย เห็นว่ารัฐบาลไม่มีการพิจารณาภาพรวม และผลกระทบจากการบริหารเกี่ยวกับวินัยการเงิน การคลัง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีหนี้กองทุนฟื้นฟู จะเห็นว่ารัฐบาลจะออกมาตรการที่จะมารองรับวิกฤตยุโรป คือ การเลื่อนเวลาการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากออกไป ตนเห็นว่าการคุ้มครองเงินฝาก และการเร่งให้มีกองทุนที่มีเงินเพียงพอเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งสำนักหนี้ต้องแจกแจงให้เห็นว่า หนี้มีอยู่ที่ไหนบ้าง และตนเชื่อว่าทุกฝ่ายต้องติดตามตรวจสอบ และรัฐบาลต้องดูภาพรวมหนี้ของประเทศ จะมาอ้างว่าดูแลเฉพาะในส่วนหนี้ที่เป็นของกระทรวงการคลังไม่ได้
อย่างไรก็ตามภาวะหนี้ในขณะนี้ยังไม่ทะลุ 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่ต้องยอมรับว่า ตัวเลขสูงขึ้น เพราะประเทศกำลังที่จะมีการกู้เงินก้อนใหญ่3.5แสนล้านบาท และต้องดูภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
“รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายประชานิยม เพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งความผันผวนด้านเศรษฐกิจ และการรองรับภัยพิบัติในหลายเรื่อง การใช้เงินก้อนใดที่ไม่คุ้มค่า ก็ควรที่จะทบทวน ผมเห็นว่านโยบายของรัฐบาลหลายนโยบายแม้จะมีเจตนาที่ดี แต่มีวิธีการอื่นที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ในการใช้จ่ายเงินก็ควรจะทบทวนด้วย โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวซึ่งมีภาระมากมายมหาศาล เฉพาะเริ่มต้นยังต้องหาเงินมาหมุนเวียนมากกว่า 2แสนล้าน ซึ่งเป็นยการทำงานเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น และถ้าต้องทำทุกปีภาระจะต้องเพิ่มขึ้น เพราะเกษตรกรปลูกข้าวกันปีละ 2-3 รอบ ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะทบทวนเพราะล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยืนยันว่ายกเลิกนโยบายรับจำนำข้าวไม่ได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลทำทุกอย่างเป็นเรื่องการเมือง และผลักภาระหนี้สิ้น การเงินการคลัง ไปสู่อนาคต ก็ไม่เป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมในหลายด้าน เพราะเงินทุกบาทที่ใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่าสามารถนำมาพัฒนาด้านอื่นๆได้ เพราะถ้าปัญหาการเงิน การคลังรุนแรงขึ้น ก็จะส่งผลกระทบเรื่องดอกเบี้ย และความสามารถในการหาเงินมาลงทุน รวมทั้งความเชื่อมั่นด้วย เห็นว่ารัฐบาลไม่มีการพิจารณาภาพรวม และผลกระทบจากการบริหารเกี่ยวกับวินัยการเงิน การคลัง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีหนี้กองทุนฟื้นฟู จะเห็นว่ารัฐบาลจะออกมาตรการที่จะมารองรับวิกฤตยุโรป คือ การเลื่อนเวลาการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองเงินฝากออกไป ตนเห็นว่าการคุ้มครองเงินฝาก และการเร่งให้มีกองทุนที่มีเงินเพียงพอเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งสำนักหนี้ต้องแจกแจงให้เห็นว่า หนี้มีอยู่ที่ไหนบ้าง และตนเชื่อว่าทุกฝ่ายต้องติดตามตรวจสอบ และรัฐบาลต้องดูภาพรวมหนี้ของประเทศ จะมาอ้างว่าดูแลเฉพาะในส่วนหนี้ที่เป็นของกระทรวงการคลังไม่ได้
อย่างไรก็ตามภาวะหนี้ในขณะนี้ยังไม่ทะลุ 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่ต้องยอมรับว่า ตัวเลขสูงขึ้น เพราะประเทศกำลังที่จะมีการกู้เงินก้อนใหญ่3.5แสนล้านบาท และต้องดูภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย