**การที่ ครม.เหยียบเบรกสับเกียร์ถอยล้อหมุนกลับลำ 360 องศา กรณีให้องค์การนาซา ใช้สนามบินอู่ตะเภา สำรวจชั้นบรรยากาศ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์สร้างภาพให้นางพญาหารือร่วมกับ 3 เหล่าทัพ พร้อมด้วยฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกันแบบเอิกเกริก
จน “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์? โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ออกมาเสนอหน้า พร้อมกับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์ฯ ยืนยันเสียงหนักแน่นว่า ได้บทสรุปตรงกัน ที่จะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของครม.ในวันที่ 19 มิ.ย. 55
โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงว่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (2) อ้างว่ามีการปรึกษากฤษฎีกา และกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้รัฐสภาพิจารณา โดย “ปลอดประสพ” ยังไปไกลถึงขั้นว่า นายกรัฐมนตรี ตั้งให้เขาเป็นประธานดูแลโครงการนี้
ผ่านไปเพียงข้ามคืน การณ์กลับตาลปัตร ไม่มีวาระนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม.ซะงั้น ทำเอาสื่อไม่ได้เห็นหัวเหม่งของ “สุรพงษ์”? มาแถลงข่าวอีก หลังหน้าแหก จนหมอไม่รับเย็บ
ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างว่า ต้องศึกษารายละเอียดก่อนยิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะการแถลงของ“สุรพงษ์” นั้น เกิดขึ้นหลังการหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีและฝ่ายความมั่นคงแล้ว !
**อะไรทำให้รัฐบาลกลับหลังหัน เป็นเรื่องที่น่าคิด
แน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะมีสำนึกดี กลัวว่าจะกลายเป็น มติครม.ขายชาติ แต่น่าจะเป็นเรื่องข้อกฎหมายที่เล็งเห็นแล้วว่า จะเกิดปัญหาติดคุกหัวโตตามมามากกว่า
" เรื่องนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องที่รัฐบาลทำอะไรไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ จึงไม่อยากให้คน 30 กว่าคน ตัดสินในเรื่องนี้ เพื่อผลประโยชน์ของใครบางคนที่จะได้รับ จึงต้องเข้าสภา เพื่อพิจารณา แต่ถ้าหากว่าสภามีเสียงข้างมากอีก คนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต
แม้ว่าเสียงโหวตในสภาจะชนะผ่านไป ขอให้พึงสังวรไว้ว่า ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ท่านกำลังขายชาติหรือไม่ ที่จะให้สหรัฐฯ มามีอิทธิพลต่อไทยอีกครั้งในรอบ 40 ปีที่แล้วมา ยังไม่เป็นบทเรียนอีกหรือ รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยทำประโยชน์ให้ใคร มีแต่แสวงหาทรัพยากร ดังนั้นประเทศเล็กๆ อย่างเรา จึงต้องระมัดระวัง หากไม่มีอะไรอยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง ผมคิดว่ารัฐบาล รัฐสภา ควรคิดให้ดีและรอบคอบ ก่อนที่จะเอาประโยชน์ของประเทศไปอยู่บนความเสี่ยง ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ให้เกิดความเสียหาย "
ข้างต้นนี้เป็นคำเตือนที่หนักหน่วง รุนแรง และทรงพลังยิ่ง จาก ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน และน่าจะเป็นส่วนสำคัญไม่น้อย ที่ทำให้ ครม. ยังไม่กล้าผลีผลามประเคนสนามบินอู่ตะเภาให้กับสหรัฐอเมริกา ประกอบกับท่าทีขึงขังเอาจริงของ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขุดข้อมูลแฉให้สังคมเห็นว่า การสำรวจชั้นบรรยากาศของนาซา ดันลงลึกไปถึงพลังงานใต้ทะเล เพราะมีบริษัทเชฟรอน ที่ได้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย บริเวณพื้นที่ทับซ้อนจากฝั่งกัมพูชาเข้ามามีเอี่ยว โดยไร้คำอธิบาย
**หาก ครม.ผลีผลามเดินหน้าเข้ากองไฟ ก็อาจมีจุดจบไม่ต่างกับกรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็น รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามอัปยศ จนเป็นเหตุให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และบานปลาย กลายเป็นเรื่องที่กัมพูชาฟ้องศาลโลก ที่ยังคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้
ย้อนเหตุการณ์ ครม.ที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 51 มีมติเห็นชอบกับแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ตามมาตรา 190 (2) ทำให้มีการยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับการใช้ประโยชน์จากแถลงการณ์ อันจะนำไปสู่ความเสียหายที่ยากจะเยียวยาได้ โดยศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการใช้ประโยชน์จากแถลงการณ์ ในวันที่ 28 มิ.ย. 51
หลังจากนั้น 8 ก.ค.51 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 :1 มีคำวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (2) ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
ต่อมาวันที่ 29 ก.ย. 52 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ มีความผิดทั้งคดีอาญา และส่งวุฒิสภาลงมติถอดถอน
12 มี.ค. 53 วุฒิสภามีมติไม่ถอดถอนนายนพดล โดยมีเสียงให้ถอดถอน 57 ต่อ 55 ไม่ถึง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด หรือ 90 เสียง ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ แต่การลงมติดังกล่าว ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่กำลังพิจารณาอยู่
ที่น่าจะทำให้ ยิ่งลักษณ์ ร้อนๆ หนาวๆ ไม่กล้าทำตาม “ใบสั่งพี่ชายนักโทษ” อีกประการหนึ่งคือ คำพูดของ “ศรีราชา” ผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น ไม่ได้เป็นแค่เสียงที่ไร้ความหมาย แต่มีอำนาจ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 245 (2) ว่า
กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใด ตามมาตรา 244 (1) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
จะไม่ให้ ครม.ขนลุกขนพองได้ยังไง ในเมื่อ “ศรีราชา” ประกาศชัดว่า เรื่องนี้ต้องผ่านรัฐสภา ไม่อย่างนั้นระวังเข้าข่ายขายชาติ ความเห็นชัดเจนเช่นนี้ หากครม.มีมติอนุมัติให้นาซา เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภา ก็เชื่อได้เลยว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชอบที่จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 245 (2) ส่งเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัย
ผลที่ตามมาอาจซ้ำรอยประวัติศาสตร์ “แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา” ที่ นพดล ยังอยู่ในภาวะลูกผีลูกคน ลุ้นระทึกว่า ศาลฎีกาฯ จะมีคำวินิจฉัยอย่างไร
**เมื่อกำแพงหนาหนักชัดขนาดนี้ ให้เฮียสั่งลุยยังไง นกแก้ว ก็ไม่ขอไปส่องกระจกในห้องกรงแน่ ๆ
จน “อ้ายปึ้ง” สุรพงษ์? โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ออกมาเสนอหน้า พร้อมกับ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทย์ฯ ยืนยันเสียงหนักแน่นว่า ได้บทสรุปตรงกัน ที่จะเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของครม.ในวันที่ 19 มิ.ย. 55
โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงว่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 (2) อ้างว่ามีการปรึกษากฤษฎีกา และกรมสนธิสัญญาและกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้รัฐสภาพิจารณา โดย “ปลอดประสพ” ยังไปไกลถึงขั้นว่า นายกรัฐมนตรี ตั้งให้เขาเป็นประธานดูแลโครงการนี้
ผ่านไปเพียงข้ามคืน การณ์กลับตาลปัตร ไม่มีวาระนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม.ซะงั้น ทำเอาสื่อไม่ได้เห็นหัวเหม่งของ “สุรพงษ์”? มาแถลงข่าวอีก หลังหน้าแหก จนหมอไม่รับเย็บ
ข้ออ้างข้างๆ คูๆ ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างว่า ต้องศึกษารายละเอียดก่อนยิ่งฟังไม่ขึ้น เพราะการแถลงของ“สุรพงษ์” นั้น เกิดขึ้นหลังการหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีและฝ่ายความมั่นคงแล้ว !
**อะไรทำให้รัฐบาลกลับหลังหัน เป็นเรื่องที่น่าคิด
แน่นอนว่า ไม่ใช่เพราะมีสำนึกดี กลัวว่าจะกลายเป็น มติครม.ขายชาติ แต่น่าจะเป็นเรื่องข้อกฎหมายที่เล็งเห็นแล้วว่า จะเกิดปัญหาติดคุกหัวโตตามมามากกว่า
" เรื่องนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องที่รัฐบาลทำอะไรไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ จึงไม่อยากให้คน 30 กว่าคน ตัดสินในเรื่องนี้ เพื่อผลประโยชน์ของใครบางคนที่จะได้รับ จึงต้องเข้าสภา เพื่อพิจารณา แต่ถ้าหากว่าสภามีเสียงข้างมากอีก คนเหล่านี้ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคต
แม้ว่าเสียงโหวตในสภาจะชนะผ่านไป ขอให้พึงสังวรไว้ว่า ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า ท่านกำลังขายชาติหรือไม่ ที่จะให้สหรัฐฯ มามีอิทธิพลต่อไทยอีกครั้งในรอบ 40 ปีที่แล้วมา ยังไม่เป็นบทเรียนอีกหรือ รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยทำประโยชน์ให้ใคร มีแต่แสวงหาทรัพยากร ดังนั้นประเทศเล็กๆ อย่างเรา จึงต้องระมัดระวัง หากไม่มีอะไรอยู่เบื้องลึกเบื้องหลัง ผมคิดว่ารัฐบาล รัฐสภา ควรคิดให้ดีและรอบคอบ ก่อนที่จะเอาประโยชน์ของประเทศไปอยู่บนความเสี่ยง ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ต้องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ให้เกิดความเสียหาย "
ข้างต้นนี้เป็นคำเตือนที่หนักหน่วง รุนแรง และทรงพลังยิ่ง จาก ศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน และน่าจะเป็นส่วนสำคัญไม่น้อย ที่ทำให้ ครม. ยังไม่กล้าผลีผลามประเคนสนามบินอู่ตะเภาให้กับสหรัฐอเมริกา ประกอบกับท่าทีขึงขังเอาจริงของ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ขุดข้อมูลแฉให้สังคมเห็นว่า การสำรวจชั้นบรรยากาศของนาซา ดันลงลึกไปถึงพลังงานใต้ทะเล เพราะมีบริษัทเชฟรอน ที่ได้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย บริเวณพื้นที่ทับซ้อนจากฝั่งกัมพูชาเข้ามามีเอี่ยว โดยไร้คำอธิบาย
**หาก ครม.ผลีผลามเดินหน้าเข้ากองไฟ ก็อาจมีจุดจบไม่ต่างกับกรณีแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่นายนพดล ปัทมะ ในสมัยเป็น รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามอัปยศ จนเป็นเหตุให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และบานปลาย กลายเป็นเรื่องที่กัมพูชาฟ้องศาลโลก ที่ยังคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้
ย้อนเหตุการณ์ ครม.ที่มี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 51 มีมติเห็นชอบกับแถลงการณ์ร่วมฯ โดยไม่มีการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ตามมาตรา 190 (2) ทำให้มีการยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้ไต่สวนฉุกเฉินเพื่อมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับการใช้ประโยชน์จากแถลงการณ์ อันจะนำไปสู่ความเสียหายที่ยากจะเยียวยาได้ โดยศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระงับการใช้ประโยชน์จากแถลงการณ์ ในวันที่ 28 มิ.ย. 51
หลังจากนั้น 8 ก.ค.51 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 8 :1 มีคำวินิจฉัยว่า แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (2) ที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน
ต่อมาวันที่ 29 ก.ย. 52 ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ มีความผิดทั้งคดีอาญา และส่งวุฒิสภาลงมติถอดถอน
12 มี.ค. 53 วุฒิสภามีมติไม่ถอดถอนนายนพดล โดยมีเสียงให้ถอดถอน 57 ต่อ 55 ไม่ถึง 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด หรือ 90 เสียง ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ แต่การลงมติดังกล่าว ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่กำลังพิจารณาอยู่
ที่น่าจะทำให้ ยิ่งลักษณ์ ร้อนๆ หนาวๆ ไม่กล้าทำตาม “ใบสั่งพี่ชายนักโทษ” อีกประการหนึ่งคือ คำพูดของ “ศรีราชา” ผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น ไม่ได้เป็นแค่เสียงที่ไร้ความหมาย แต่มีอำนาจ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 245 (2) ว่า
กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใด ตามมาตรา 244 (1) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
จะไม่ให้ ครม.ขนลุกขนพองได้ยังไง ในเมื่อ “ศรีราชา” ประกาศชัดว่า เรื่องนี้ต้องผ่านรัฐสภา ไม่อย่างนั้นระวังเข้าข่ายขายชาติ ความเห็นชัดเจนเช่นนี้ หากครม.มีมติอนุมัติให้นาซา เข้ามาใช้สนามบินอู่ตะเภา ก็เชื่อได้เลยว่า ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชอบที่จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ 245 (2) ส่งเรื่องให้ศาลปกครองวินิจฉัย
ผลที่ตามมาอาจซ้ำรอยประวัติศาสตร์ “แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา” ที่ นพดล ยังอยู่ในภาวะลูกผีลูกคน ลุ้นระทึกว่า ศาลฎีกาฯ จะมีคำวินิจฉัยอย่างไร
**เมื่อกำแพงหนาหนักชัดขนาดนี้ ให้เฮียสั่งลุยยังไง นกแก้ว ก็ไม่ขอไปส่องกระจกในห้องกรงแน่ ๆ