หน.ปชป.เผย ครม.นำเรื่องนาซาขอใช้อู่ตะเภาเข้าสภาเป็นเรื่องดี เหตุเพราะรัฐบาลเอาแต่ตอบโต้ทางการเมืองจนโครงการถูกแขวน ชี้เป็นบทเรียนต้องรับฟังความคิดเห็นและทำให้โปร่งใสตั้งแต่ต้น แนะทำความเข้าใจสหรัฐฯ และประเทศเพื่อนบ้าน โต้ รมว.ต่างประเทศอ้างถ้าน้ำท่วมคงช่วยไม่ได้ ชี้ไม่รู้ข้อเท็จจริง-เหตุผล แต่อยากทะเลาะอย่างเดียว ฉะมีแค่ “ปึ้ง-ปลอด” ชอบลากโยงการเมือง
วันนี้ (26 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับทีมงานพรรคที่เกาะติดกรณีที่องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา หรือ นาซา ของสหรัฐฯ ขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการสำรวจก้อนเมฆบนชั้นบรรยากาศ ว่า ถือเป็นเรื่องดีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตั้งหลักใหม่ด้วยการนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 179 จะได้ทำความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนถึงผลดีและผลเสียของโครงการว่าเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมาปัญหาเกิดจากรัฐบาลไม่ให้ความจริงต่อประชาชน และไม่สามารถตอบคำถามของหลายภาคส่วนที่มีความห่วงใยต่อโครงการนี้ได้ แต่กลับใช้วิธีการทำให้กลายเป็นประเด็นการเมืองแทน จนในที่สุดสถานะของโครงการก็เหมือนกับถูกแขวนเอาไว้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลทำงานเรื่องนี้มานานหลายเดือนแล้ว น่าจะทราบถึงความต้องการของสาธารณะในการขอทราบรายละเอียด ซึ่งสิ่งที่พรรคและหลายส่วนเรียกร้องให้ชี้แจงในประเด็นที่ยังมีความกังวล กลับให้รัฐมนตรีออกมาตอบโต้ทางการเมืองแต่ไม่มีความชัดเจนในเรื่องรายละเอียดของโครงการ ถ้ามีการเสียโอกาสของประเทศเกิดขึ้นก็เป็นเพราะรัฐบาลไม่ทำทุกอย่างให้โปร่งใสตั้งแต่ต้น
“ถ้าโครงการนี้ถูกพับไปจะมาโทษพวกผมคงไม่ได้ แต่เป็นเพราะรัฐบาลไม่ทำอะไรมานานนับปี ในการสร้างความเข้าใจ ความโปร่งใส และแก้ไขในประเด็นที่คนห่วงใย เราคงไม่สามารถขัดขวางใครได้อยู่แล้ว เนื่องจากหากรัฐบาลฟังสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ท้วงติงแล้วหยุดทุกเรื่อง บ้านเมืองก็คงจะไม่วุ่นวายแบบนี้ ทั้งเรื่องปรองดอง และรัฐธรรมนูญ หลายคนที่ตั้งคำถามอยู่บนความห่วงใยประเทศชาติ ต้องการให้เกิดความรอบคอบ แต่แทนที่รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้เอาข้อเท็จจริงมาแลกเปลี่ยนกัน กลับให้รัฐมนตรีทั้งหลายมาตอบโต้ทางการเมือง จนสุดท้ายก็ทำให้สถานะโครงการอยู่ในความไม่แน่นอน ไม่รู้จะเดินหน้าหรือไม่อย่างไร แต่ที่ชัดเจน คือ ครม.ไม่อนุมัติให้ รมว.ต่างประเทศไปลงนาม ถ้ารัฐมนตรีไปลงนามก็จะเป็นการลงนามที่ไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม. และ รมว.ต่างประเทศพูดเองว่าเข้าข่ายมาตรา 190 (1) ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ครม.ก่อน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การพิจารณาโครงการนี้ต้องดูภาพรวมเพราะมีหลายมิติ โดยต้องยึดเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ซึ่งมีหลายมิติตั้งแต่งานวิจัย ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความมั่นคง แต่ทั้งหมดเกิดปัญหาเพราะไม่อธิบาย หรืออาจเป็นเพราะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดโครงการได้ ทำให้ข้อมูลได้จากเว็บไซต์นาซาเป็นหลัก เช่น การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ไม่รับทราบ สุดท้ายมายอมรับทีหลัง ทำให้เกิดความสงสัยมากขึ้น จึงถือเป็นบทเรียนสำหรับรัฐบาลว่าโครงการที่มีความสำคัญ ถ้าเป็นประโยชน์กับส่วนรวมรัฐบาลต้องบริหารจัดการให้มีการรับฟังความเห็นและทำให้โปร่งใส ทั้งนี้เห็นว่าสาเหตุที่ทำให้ ครม.ถอยเพราะมีเสียงทักท้วงจากหลายฝ่ายรวมทั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน และคงไม่มั่นใจในแง่ข้อกฎหมาย การเอาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา 179 ก็เป็นคนละเรื่องกับมาตรา 190 (2) ซึ่งตนเข้าใจว่ารัฐบาลคงยังเห็นว่าไม่เข้ามาตรา 190 (2) แต่ต้องการฟังความเห็นเพื่อความรอบคอบ
ทั้งนี้ หากโครงการเป็นอย่างที่มีการชี้แจงว่าต้องทำในช่วงหน้ามรสุม ก็เท่ากับว่าคงไม่น่าจะทำในปีนี้ได้ แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าตกลงมีการเคลื่อนย้ายอุปกรณ์จากสหรัฐฯ มาแล้วตามปฏิทินของนาซา ดังนั้นจึงควรชี้แจงความจริงต่อประชาชน เพราะถ้าจะเดินหน้าต่อก็ควรจะได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่ายซึ่งจะทำให้โครงการมีประโยชน์มากขึ้น เนื่องจากยังไม่มีใครทราบว่าในแง่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์คนของเราจะได้ประโยชน์อย่างไร รวมถึงผลการศึกษาที่ใช้จะเอามาพัฒนาอย่างไร สิ่งเหล่านี้ต้องชัดเจน และรัฐบาลก็ต้องทำความเข้าใจกับสหรัฐอเมริกาด้วย เพราะเป็นพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตมายาวนาน ไม่ควรทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน รวมทั้งต้องทำความเข้าใจกับประเทศอื่นๆ ด้วยว่าทำไมโครงการนี้จึงเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะไทย กัมพูชา สิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศอื่นในภูมิภาคทั้งมาเลเซีย เวียดนาม อินโดนีเซียจึงไม่เกี่ยวข้อง ทั้งๆ ที่ตามแผนที่ของโครงการมีเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นที่จะใช้น่านฟ้าที่อยู่เหนือแผ่นดิน
ส่วนกรณีที่ นางฟู่ หยิง รมช.ต่างประเทศจีน ระบุว่า การเข้ามาในภูมิภาคนี้ของสหรัฐฯ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นสงครามเย็นในภูมิภาคนี้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลทำให้โปร่งใส ปัญหาอย่างนี้จะไม่เกิด แต่ถ้าไม่พยายามชี้แจง ไม่ให้ข้อเท็จจริง แต่พยายามจุดประเด็นทางการเมืองอย่างเดียว แล้วหวังพึ่งว่าไปสร้างกระแสแบบผิวเผินก็จะเป็นปัญหากับประเทศ ตนคิดว่ารัฐบาลไม่ได้เอาใจใส่ในการที่จะให้โครงการเป็นโครงการที่ทุกฝ่ายยอมรับในทุกมิติที่อาจมีผลกระทบทั้งกับประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านเราอาจได้โครงการที่ดีกว่านี้ก็ได้
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ระบุว่า การที่นาซาไม่ได้เข้ามาสำรวจก้อนเมฆหากเกิดน้ำท่วมขึ้นมาคงช่วยอะไรไม่ได้ว่า ตนยังไม่เห็นว่าหากนาซาเข้ามาสำรวจในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนนี้แล้วน้ำจะท่วมหรือไม่ท่วมปีนี้ การอธิบายแบบนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้โครงการตกอยู่ในสภาพแบบนี้ เพราะรัฐมนตรีไม่รู้ข้อเท็จจริง ไม่รู้เหตุผล แต่อยากทะเลาะทางการเมืองอย่างเดียว ทั้งที่คนท้วงติงพูดถึงประเด็นของบ้านเมือง ไม่มีใครพูดถึงประเด็นการเมืองเลย มีแต่ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ และ รมว.ต่างประเทศ ที่ทำให้เป็นประเด็นการเมือง ต้องการให้คนรู้สึกว่าฝ่ายค้านขัดขวางทั้งที่เราทำหน้าที่ตรวจสอบ หลังจากนี้จะมีการเดินหน้าโครงการนี้หรือไม่คงต้องดูท่าทีของนาซาและสหรัฐฯ ด้วย เพราะที่เสนอต่อรัฐบาลเจาะจงการทำงานในปีนี้ โดยในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ก็จะตรวจสอบและสอบถามในรัฐสภา พร้อมกับอธิบายให้สังคมรับทราบว่าทำไมจึงมีข้อห่วงใยในเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างมีเหตุผลรองรับทั้งสิ้น