xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยครึ่งปีหลังผันผวนหนัก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ชี้ ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังผันผวนสูง นักลงทุนควรเลือกลงทุนหุ้นปันผลสูง -โลว์เบต้า เล็งออกขายหุ้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์-กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2-3 กองทุน มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ในครึ่งปีหลัง พร้อมเปิดตัวบริการไพรเวทเวิลร์ คาดสิ้นปีนี้มีลูกค้า 500 ราย เอยูเอ็ม 5 พันล้านบาท

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ MBKET เปิดเผยว่า บริษัทมองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวนอยู่แม้กรีชแจะมีการเลือกตั้งแล้วแต่ยังมีปัจจัยลบที่กดดันอยู่จากปัญหาหนี้ที่มีอยู่จำนวนมาก และคนว่างงานสูง และหากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นทำให้ธนาคารกลาง(เฟด)ประเทศต่างๆจะต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำต่อไป ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)มีความกังวลจากเศรษฐกิจโลก ทำให้ต้องดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำ ทำให้นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำก็จะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำ หากลงทุนหุ้นที่ต้องการความเสี่ยงต่ำก็จะต้องลงทุนในระยะยาว

"ตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังเคลื่อนไหวผันผวนจากข่าวดีและข่าวร้ายสลับกันไป ทำให้ดัชนีจะไม่ปรับตัวลงแรง หรือหากขึ้นก็ยังไปได้ไม่ไกลนัก แต่ก็ประเมินว่าดัชนี SET ครึ่งปีหลังมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,320 จุด จากเดิมประเมินไว้ที่ 1,234 จุด ส่วนมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหุ้นน่าจะยังเป็นไปตามคาดการณ์เดิมที่ 3 หมื่นล้านบาท"นายมนตรีกล่าว

ทั้งนี้จากภาวะตลาดหุ้นไทยที่จะมีความผันผวนนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง และหุ้นที่ลดความเสียดทานของตลาด (โลว์เบต้า) เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์ โดยในครึ่งปีหลังบริาทจะมีการนำเสนอสินค้าใหม่ๆให้กับนักลงทุน คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมจำนวน 2-3 กองทุน ซึ่งมีผลตอบแทนประมาณ 8% โดยจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท

นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจหลักทรัพย์รายย่อย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่บริษัทเริ่มให้บริการด้านการบริหารการลงทุนส่วนบุคคล หรือ Private Wealth ในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี จากที่ยุโรปมีปัญาหา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่สูง ทำให้นักลงทุนต้องการหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนชนะเงินเฟ้อ ก็มีนักลงทุนมาให้บริษัทมีการบริหารการลงทุนให้

ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีลูกค้า Private Wealth จำนวน 500 ราย ซึ่งมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM)ประมาณ 5,000 ล้านบาท จากที่บริการมีความพร้อมในเรื่องทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญการวางแผนทางการเงินที่มีประสบการ์ทำงานกับบริษัทชั้นนำ และมีสินค้าในการให้บริการแก่ลูกค้าที่หลายหลายครบวงจรตราสารทางการเงิน ทั้งหุ้น และอนุพันธ์ ตราสารหนี้ กองทุนรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นอกจากนี้บริษัทจะมีการให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศโดยใช้เครือข่ายของกลุ่มเมย์แบงก์ที่มีสาขาอยู่ในเอเชีย ยุโรป สหรัฐอเมริกาถึง 17 ประเทศ สำหรับในปลายเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทจะเปิดให้ลงทุน ในตลาดหลักทรัพย์ 5 แห่ง ได้แก่สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และ อเมริกา และภายในสิ้นปีนี้จะเปิดให้บริการรวม 19 ตลาด

“บริษัทเพิ่งเริ่มให้บริการ Private Wealth อย่างจริงจังโดยบริษัทวางเป้าหมายภายใน 3-5 ปี จะมีสัดส่วนรายได้จาก Private Wealth ประมาณ 20% ของรายได้รวม เพื่อมาลดสัดส่วนรายได้จากนายหน้าซื้อขายหุ้น และพยายามเพิ่มสัดส่วนรายได้ของไอบีขึ้นมา ให้มีสัดส่วนรวมประมาณ 40% และรายได้จากนายหน้าค้าหุ้นเหลือ 60% จากปัจจุบันที่รายได้ค่านายหน้าค้าหุ้น 85% และรายได้อื่น 15% ” บุญพร กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น