ASTVผู้จัดการรายวัน-วิกฤตยูโรทุบส่งออกไทย ทำยอดหาย 1-1.5 แสนล้านบาท ส่อฉุดส่งออกทั้งปีเหลือแค่ 7-8% หากหาตลาดใหม่ชดเชยไม่ได้ ชี้ตลาดใหม่เดือดแน่ หลังทุกประเทศจ้องบุกเหมือนกัน
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในปี 2555 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 7-8% เท่านั้น เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปตลาดยุโรปจะเสียหายประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท จากการชะลอนำเข้าสินค้าไทยของประเทศกรีซ โปรตุเกสไอร์แลนด์ สเปน และอิตาลี เนื่องจากประสบปัญหาหนี้สาธารณะอย่างหนัก
ทั้งนี้ เป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ 15% แนวโน้มคงเป็นไปได้ยาก เพราะแม้จะหาตลาดใหม่มาชดเชยการส่งออกที่หายไป 1-1.5 แสนล้านบาทได้ ก็อาจทำให้ตัวเลขการส่งออกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 10-12% เท่านั้น ที่สำคัญตลาดที่เป็นทางเลือกของไทย เช่น จีน อินเดีย ก็ได้รับผลกระทบจากหนี้สาธารณะของยุโรปเช่นกันเนื่องจากประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปตลาดยุโรปสูงมาก
ขณะเดียวกัน การทำตลาดใหม่เพื่อชดเชยตลาดยุโรปที่สูญเสียไป ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลงมาแข่งขันด้านราคาสินค้า เพราะหลายประเทศให้ความสนใจตลาดใหม่ชดเชยตลาดยุโรปเช่นกัน ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาสูง ส่วนกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากสุด เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ยางและผลิตภัณฑ์
ส่วนผลการเลือกตั้งของกรีซที่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทำให้กรีซไม่ต้องออกจากลุ่มยูโรโซน ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะคลี่คลายลง ขณะที่สเปน และอิตาลี ได้ถูกลดเครดิต ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปอาจจะต้องใช้ระยะเวลานาน 3-5 ปี ทั้งนี้ แม้การส่งออกไทยปีนี้จะชะลอตัวลง แต่คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ระดับ 5-6% จากการลงทุนภายในประเทศ
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจยูโรโซนอาจมาถึงทางตัน เพราะไม่สามารถใช้เครื่องมือทางการเงินและการคลังในการแก้ปัญหาวิกฤตได้ในขณะนี้ เพราะภาระหนี้สินมีจำนวนมาก การลดค่าเงินก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเงินสกุลยูโรใช้ทั้งยูโรโซน จึงรอเพียงความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและมิตรประเทศที่จะช่วยเหลือเท่านั้น และหากยูโรโซนล่มสลายจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ตกต่ำทั่วโลก
สำหรับสัดส่วนการส่งออกไปตลาดยุโรป ไทยมีสัดส่วน 11% อาเซียนส่งออกไปยุโรป 24% จีนส่งออกไปยุโรป 24% โดยยุโรปลงทุนตรง (FDI) ในไทย 16% นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทย 19% ซึ่งวิกฤตครั้งนี้จะส่งผลกระทบกับจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยลดลงมากกว่ากระทบการลงทุนในไทย ขณะที่ตลาดทุนจะผันผวน นักลงทุนต้องระมัดระวัง ค่าเงินก็จะผันผวนด้วยเช่นกันแต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เพราะมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่มาก
วันเดียวกันนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดศูนย์ข้อมูล “AEC Strategy Center” เพื่อให้บริการข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจ การค้าและการลงทุนของอาเซียน ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลจากประเทศต่างๆ ในอาเซียน และหอการค้าไทยแต่ละประเทศ รวมถึงจะมีผลงานศึกษาวิจัยจากหน่วยงานต่างๆสามารถให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจไปลงทุนในอาเซียนได้และช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้นักธุรกิจในหลังไทยเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าไทยในปี 2555 คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ทำให้อัตราการขยายตัวทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในระดับ 7-8% เท่านั้น เนื่องจากมูลค่าการส่งออกไปตลาดยุโรปจะเสียหายประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท จากการชะลอนำเข้าสินค้าไทยของประเทศกรีซ โปรตุเกสไอร์แลนด์ สเปน และอิตาลี เนื่องจากประสบปัญหาหนี้สาธารณะอย่างหนัก
ทั้งนี้ เป้าหมายของกระทรวงพาณิชย์ที่ตั้งไว้ 15% แนวโน้มคงเป็นไปได้ยาก เพราะแม้จะหาตลาดใหม่มาชดเชยการส่งออกที่หายไป 1-1.5 แสนล้านบาทได้ ก็อาจทำให้ตัวเลขการส่งออกปีนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นในระดับ 10-12% เท่านั้น ที่สำคัญตลาดที่เป็นทางเลือกของไทย เช่น จีน อินเดีย ก็ได้รับผลกระทบจากหนี้สาธารณะของยุโรปเช่นกันเนื่องจากประเทศเหล่านี้มีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปตลาดยุโรปสูงมาก
ขณะเดียวกัน การทำตลาดใหม่เพื่อชดเชยตลาดยุโรปที่สูญเสียไป ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลงมาแข่งขันด้านราคาสินค้า เพราะหลายประเทศให้ความสนใจตลาดใหม่ชดเชยตลาดยุโรปเช่นกัน ทำให้มีการแข่งขันด้านราคาสูง ส่วนกลุ่มสินค้าที่ได้รับผลกระทบมากสุด เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ยางและผลิตภัณฑ์
ส่วนผลการเลือกตั้งของกรีซที่ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทำให้กรีซไม่ต้องออกจากลุ่มยูโรโซน ถือเป็นสัญญาณที่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะคลี่คลายลง ขณะที่สเปน และอิตาลี ได้ถูกลดเครดิต ทำให้การแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปอาจจะต้องใช้ระยะเวลานาน 3-5 ปี ทั้งนี้ แม้การส่งออกไทยปีนี้จะชะลอตัวลง แต่คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ระดับ 5-6% จากการลงทุนภายในประเทศ
นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจยูโรโซนอาจมาถึงทางตัน เพราะไม่สามารถใช้เครื่องมือทางการเงินและการคลังในการแก้ปัญหาวิกฤตได้ในขณะนี้ เพราะภาระหนี้สินมีจำนวนมาก การลดค่าเงินก็ไม่สามารถทำได้ เพราะเงินสกุลยูโรใช้ทั้งยูโรโซน จึงรอเพียงความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศและมิตรประเทศที่จะช่วยเหลือเท่านั้น และหากยูโรโซนล่มสลายจะกระทบต่อเศรษฐกิจโลกให้ตกต่ำทั่วโลก
สำหรับสัดส่วนการส่งออกไปตลาดยุโรป ไทยมีสัดส่วน 11% อาเซียนส่งออกไปยุโรป 24% จีนส่งออกไปยุโรป 24% โดยยุโรปลงทุนตรง (FDI) ในไทย 16% นักท่องเที่ยวเดินทางมาไทย 19% ซึ่งวิกฤตครั้งนี้จะส่งผลกระทบกับจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยลดลงมากกว่ากระทบการลงทุนในไทย ขณะที่ตลาดทุนจะผันผวน นักลงทุนต้องระมัดระวัง ค่าเงินก็จะผันผวนด้วยเช่นกันแต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่ง เพราะมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่มาก
วันเดียวกันนี้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้เปิดศูนย์ข้อมูล “AEC Strategy Center” เพื่อให้บริการข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจ การค้าและการลงทุนของอาเซียน ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลจากประเทศต่างๆ ในอาเซียน และหอการค้าไทยแต่ละประเทศ รวมถึงจะมีผลงานศึกษาวิจัยจากหน่วยงานต่างๆสามารถให้ข้อมูลแก่ผู้สนใจไปลงทุนในอาเซียนได้และช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันให้นักธุรกิจในหลังไทยเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
