ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ความจริงแล้ว ไม่ว่าใครจะไป ใครจะมา ใครจะมานั่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มิได้มีความหมายอะไรเท่าใดนัก เพราะเป็นที่รับรู้กันอยู่แล้วว่า ผู้มีอำนาจตัวจริง ผู้มีอำนาจสั่งซ้ายหันขวา ไม่ใช่ “ปูเอาอยู่” หากแต่คือ นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชาย
แต่ฉับพลันทันทีที่มีการปล่อยข่าวเรื่องการเด้ง “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็เล่นเอาคอการเมืองหูผึ่งไปตามๆ กันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอายุของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนปัจจุบันจึงสั้นถึงเพียงนี้ และมีเรื่องร้ายแรงหรือหนักหนาสาหัสถึงขนาดต้องปลดกันอย่างไม่ไว้หน้า
ทั้งนี้ เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า บิ๊กโอ๋นั้น ไม่ใช่ทหารอากาศธรรมดาๆ หากแต่เป็นเพื่อนรักเตรียมทหาร 10 ที่เลือกยืนอยู่ข้างประมุขแห่งรัฐไทยใหม่มาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับการปูนบำเหน็จให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ
พล.อ.อ.สุกำพล เคยเป็ เสนาธิการทหารอากาศ และถูกวางตัวเป็น ผบ.ทอ. ในยุคที่ นช.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผลพวงของการรัฐประหารทำให้ถูกเด้งเข้ากรุ ทอ. และในที่สุดก็ถูกเตะโด่ง มาเป็น จเรทหารทั่วไป ที่กระทรวงกลาโหม จนลาออกมาเป็น รมว.คมนาคม เมื่อ ส.ค. 2554 ที่ผ่านมาก่อนที่การปรับครม.ปู 2 จะได้มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสมดั่งใจปรารถนา
ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเป็นปมที่จำเป็นจะต้องแสวงหาคำตอบ เพราะต้องไม่ลืมว่า นี่คือการปรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมครั้งที่ 3 แล้ว โดยแต่ละคนก็ล้วนแล้วอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นานเท่าใดนัก
กล่าวคือจากพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ก็ถูกส่งผ่านเก้าอี้มาให้ พล.อ.อ.สุกำพล
ยิ่งเมื่อมีกระแสข่าวตามมาเป็นระลอกที่ 2 ว่า ตัวเต็งที่จะมานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคมใหม่มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นนารีหน้าขาวที่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็ยิ่งทำให้ปริศนาเกี่ยวกับเรื่องนี้มีเงื่อนงำที่ไม่ธรรมดา
ทำไม นช.ทักษิณถึงต้องให้น้องสาวสุดที่รักนั่งถ่างขาควบเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมพร้อมๆ กันด้วย
และทำไมอายุการใช้งานของ พล.อ.อ.สุกำพลถึงได้สั้นแสนสั้นจนน่าตกใจเช่นนี้
กล่าวสำหรับ พล.อ.อ.สุกำพลนั้น เหตุผลที่มีการปล่อยออกมาก็คือ “การทำงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายของพรรคและมีปัญหาเกี่ยวกับข้อครหาบางประการ”
กรณีเรื่องการทำงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย สิ่งที่ต้องไขปริศนาเพิ่มเติมก็คือ อะไรคือสิ่งที่ พล.อ.อ.สุกำพลไม่สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมายที่ นช.ทักษิณมีคำสั่งให้ดำเนินการ ใช่เรื่องกรณีการโยกย้ายนายทหารแตงโมเข้ามาแทนที่นายทหารสายอำมาตย์หรือไม่ ใช่เรื่องการผลักดันให้มีการแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมหรือไม่
หรือเป็นกรณีอื่นใด
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ถ้าหากเปรียบเทียบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนเก่าคือ พล.อ.ยุทธศักดิ์แล้ว พล.อ.อ.สุกำพลน่าจะทำตามคำสั่งได้ดีกว่า ดังนั้น จึงชวนให้สงสัยว่า อะไรคือสิ่งที่บิ๊กโอ๋ไม่สามารถสนองตอบได้ ซึ่งประเด็นที่เป็นไปได้มากที่สุด อาจจะอยู่ตรงที่บิ๊กโอ๋ไม่เป็นสบอารมณ์บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพบกและกองทัพอากาศที่ถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน กระทั่งกลายเป็นที่มาของกระแสข่าวปฏิวัติ กระทั่งทำให้บิ๊กโอ๋ต้องออกมายืนยันด้วยตัวเองว่าไม่มี และสุดท้ายก็จำต้องคลี่คลายสถานการณ์ด้วยการปล่อยข่าวเด้งพ้นบิ๊กโอ๋พ้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ขณะที่กรณีข้อครหาบางประการเกี่ยวกับบิ๊กโอ๋นั้น สายตาของสังคมก็อดที่จะนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ พล.อ.อ.สุกำพลเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือไม่ เพราะในครั้งนั้นก็เคยเกิดเหตุจากกรณีบุรุษชื่อ “อู๊ด” จนทำให้พล.อ.อ.สุกำพลต้องย้ายก้นจากกระทรวงคมนาคมมาอยู่ที่กระทรวงกลาโหมแทน
หากยังจำกันได้ในช่วงที่ พล.อ.อ.สุกำพลถูกพ้นจากกระทรวงคมนาคมนั้น ได้ถูกบรรดา ส.ส.พรรคเพื่อไทยโจมตีอย่างหนัก โดยรายงานข่าวระบุว่าขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางมาประชุมพรรคเพื่อไทย นายเวียง วรเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลุกขึ้นอภิปรายการทำงานของรัฐมนตรีในสัดส่วนพรรคเพื่อไทย 2 คนคือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม และนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ โดยระบุว่านายกฯควรปรับรัฐมนตรีที่มีปัญหาออก เพราะคนเหล่านี้ไม่ให้ความสำคัญกับพรรค ไม่เห็นหัวส.ส.และไม่ยอมเข้าร่วมประชุมพรรคเพื่อรับฟังเสียงสะท้อน ของส.ส.
และผลที่ออกมาก็คือ ทั้ง พล.อ.อ.สุกำพลและนายวรวัจน์ถูกเด้งพ้นจากกระทรวงที่ตนเองรับผิดชอบจริง ด้วยเหตุดังกล่าวการออกมาให้ข่าวเรื่องการปลด พล.อ.อ.สุกำพลจึงตั้งอยู่บนฐานข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้
“ผมไม่มีปัญหาหากจะเป็นไปตามข่าวและการปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ แต่ผมยังไม่ทราบว่าไม่สนองนโยบายตรงไหน เป็นทหารทำงานมาตลอด นายกฯ ในฐานะผู้บังคับบัญชาสั่งมา ผมก็ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด บางทีการทำงานผมก็รายงานเลขาฯ นายกฯ แต่อะไรที่สั่งมาผมก็ทำหมด เพราะเรื่องงานเป็นเรื่องสำคัญ แต่ต้องถามว่า ใครกล่าวหา ส่วนกระแสข่าวว่าถูกปรับมีสาเหตุจากคนที่ชื่ออู๊ดที่มาช่วยงานที่กระทรวงกลาโหมนั้นไม่เกี่ยวกัน คนใส่ความก็ว่ากันไป อย่าไปคิดมาก”นั่นคือความรู้สึกที่ออกมาจากปาก พล.อ.อ.สุกำพล ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งถ้าหากถูกเฉดหัวพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจริง
ส่วนกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะถ่างขานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม พร้อมแต่งตั้งบุคคลเข้ามาเป็นผู้ช่วยในตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็ยิ่งพิลึกกึกกือเข้าไปใหญ่ว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร เพราะข้ออ้างเรื่องการกระชับความสัมพันธ์กับกองทัพ ข้ออ้างเรื่องการถ่วงดุลอำนาจกับทางกองทัพเพื่อหวังลดแรงเสียดทางหวังป้องกันเรื่องการรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ดูเหมือนว่า จะไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงทั้งหมด
เพราะไม่ว่าจะมองทางไหน ก็ไม่เห็นเหตุสมควรอันใดหรือคุณสมบัติอันใดที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์จะนั่งถ่างขาเก้าอี้ตัวนี้อีกตำแหน่งหนึ่ง เพียงแค่เป็นนายกฯ นกแก้วนกขุนทองอย่างเดียวก็จะไปไม่รอดอยู่แล้ว นี่จะมาเป็น “หงส์เหนือมังกร” อีกตำแหน่ง จะมิยิ่งก่อความวุ่นวายให้มากกว่าเดิมอีกหรือ
หรือเป็นเพราะนายกฯ ยิ่งลักษณ์เดินทางไปตรวจแถวทหารบ่อย จนติดใจในความเข้มแข็งของเหล่าทหารหาญก็น่าจะไม่ใช่
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมิอาจมองเป็นอย่างอื่นได้ว่า อาจจะเป็นเหตุผลทางด้านไสยศาสตร์หรือความเชื่อเพื่อต้องการให้ผู้หญิงมาข่มความเป็นทหาร หรือที่มีการพูดขานกันหมู่คนใกล้ชิดด้วยคำพูดอันเป็นปริศนาว่า “หงส์เหนือมังกร” เพราะไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาก่อนว่า เคยมีผู้หญิงนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
กระนั้นก็ดี มีความเป็นไปได้สูงเช่นกันว่า ผู้นำเหล่าทัพยินดีที่จะอ้าแขนรับนายกฯ ยิ่งลักษณ์ด้วยความยินยอมพร้อมใจ เพราะการได้ “นายกฯนกแก้ว” การได้ “นายกฯ หนูไม่รู้” มานั่งว่าการด้วยความไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ย่อมทำให้สิ่งที่เตรียมการเอาไว้สำเร็จลุล่วงไปอย่างง่ายดาย โดยมิต้องเกรงกลัวว่าเธอจะเข้ามาล้วงลูก โดยมิต้องเกรงกลัวว่าเธอจะมีสิทธิเข้าร่วมประชุมสภากลาโหมเพื่อชี้นิ้วสั่งการใดๆ
ขณะที่ตัวนางสาวยิ่งลักษณ์เองนั้น ก็เลี่ยงที่จะให้ความชัดเจนในการถ่างขานั่งควบ 2 เก้าอี้เหมือนเช่นทุกครั้งที่ถูกถามเรื่องสำคัญๆ โดยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (กนอช.) น.ส. ยิ่งลักษณ์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวการควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (กห.) นายกฯ ยิ่งลักษณ์หัวเราะ พร้อมกับตอบว่า "เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคุยแล้วกัน วันนี้เอาเรื่องน้ำก่อน"
อย่างไรก็ตาม สำหรับความเคลื่อนไหวในเก้าอี้รัฐมนตรีอื่นๆ นั้น ก็ยังคงไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า “อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111” ไม่น้อยกว่า 4-5 คนจะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรี อาทิ นายโภคิน พลกุล นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นต้น
เฉกเช่นเดียวกับ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคนเสื้อแดงที่คราวนี้จะได้ “ขึ้นวอ” เสวยสุขในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยตามที่ นช.ทักษิณรับปากเอาไว้
ขณะที่โควตารัฐมนตรีของพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความชัดเจนเช่นกันว่า พรรคชาติไทยพัฒนาของปลาไหลตัวพ่อจะเสือกไสไล่ส่งให้นายธีระ วงศ์สมุทร พ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากทำงานไม่เข้าตากรรมการ และแว่วว่าทางพรรคจะส่ง “นายยุคล ลิ้มแหลมทอง” มานั่งเก้าอี้ตัวนี้แทน ส่วนพรรคพลังชลก็เป็นไปตามเดิมที่เก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของ “นางสุกุมล คุณปลื้ม” ผู้เป็นภรรยาจะถูกส่งไม้ต่อไปให้ “นายสนธยา คุณปลื้ม” ผู้เป็นสามีจะมารับตำแหน่งนี้แทน
ส่วนเก้าอี้รัฐมนตรีโควตาพรรคเพื่อไทยที่มีข่าวจะถูกเด้งพ้นจากตำแหน่งนอกเหนือจาก พล.อ.อ.สุกำพลก็อย่างเช่น พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา เป็นต้น
แต่ดูเหมือนว่า ทุกเก้าอี้ ทุกตำแหน่งจะไร้ความหมายเมื่อมีกระแสข่าวเด้งฟ้าผ่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัตพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งค่อนข้างชัดเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า “รอดยาก”