ผ่าประเด็นร้อน
ความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ใช้ ว.5 เป็นภารกิจส่วนตัว แต่ลับมาก สำหรับการดอดเข้าไปหารือกับบรรดาผู้นำเหล่าทัพ เมื่อเที่ยงวันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม ที่กองบัญชาการกองทัพไทย ย่อมทำให้คอการเมืองที่ติดตามสถานการณ์ย่อมหูผึ่งเป็นธรรมดา
เพราะในวงที่นั่งรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันล้วนแล้วแต่เป็นระดับ “ขาใหญ่” มากันครบครัน เริ่มตั้งแต่ฝั่งรัฐบาลนอกจากนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ แล้ว ก็มี รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นต้น
เห็นรายชื่อและตำแหน่งไม่ต้องพูดกันมากล้วนแล้วแต่ระดับบิ๊กเนม ไม่ต้องจารนัยกันมาก แต่คำถามก็คือทำไมต้องมีการหารือกันในช่วงเวลานี้แบบนี้ หรือว่ามีวาระลับพิเศษเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะถ้าพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เห็นยังทำเป็นลับๆ ล่อๆ เสียอีกทำให้ยิ่งน่าสงสัย
แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบจากสถานการณ์รอบข้างที่เป็นอยู่มันก็ชวนให้คิดว่าต้อง “พิเศษ” ไม่ธรรมดาแน่นอน กรณีแรกเพิ่งพ้นไปหมาดๆ ก็คือ กรณีนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา อ้างว่าสำหรับใช้ขนเครื่องบินและอุปกรณ์มาตรวจสภาพดินฟ้าอากาศไปตามเรื่องไม่เกี่ยวกับการล้วงตับประเทศเพื่อนบ้านหรือถ่วงดุลจีนในทะเลจีนใต้ และเมื่อทำท่าบานปลายมีเสียงต้านมากขึ้นทำให้ต้องถอย และข่าวแว่วมาว่า “เสียงค้านหนักๆ” ก็มาจากฝ่ายความมั่นคงและกองทัพนั่นแหละ ทำให้วงสนทนาบนโต๊ะอาหารเที่ยงดังกล่าวมีการเคลียร์ใจกันด้วย หรือก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องที่ฝ่ายตำรวจเปิดเกมรุกเบิกความเป็นพยานกล่าวหากองทัพเป็นจำเลยคดีฆ่า 16 ศพในวัดปทุมวนารามฯ
เรื่องสำคัญถัดมาอีกเรื่องก็คือ “ข่าวปฏิวัติ” ที่ “จงใจปล่อย” ออกมาอย่างถี่ยิบจากฝ่ายเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร และคนในรัฐบาลแทบทั้งสิ้น ทั้งออกมาจากปากของพวกหัวโจกคนเสื้อแดง เช่น จตุพร พรหมพันธุ์ ที่มักนำมาโยงแทบทุกเวทีที่เขามีโอกาสขึ้นไปปลุกระดม ขณะเดียวกันยังมีรายงานข่าวจากสื่อเครือเดียวกันนำคำพูดมาขยายความอ้างตัวตน นายทหารไปหารือลับกันที่เขาใหญ่เพื่อหาทางล้มล้างรัฐบาล จนทำให้ ระดับบิ๊กกองทัพควันออกหูดีที่มีการขอโทษขอโพยกันเสียก่อน บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง
เรื่องหลักที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในตอนนี้ก็คือ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่ ทำให้บรรยากาศเริ่มกลับมาตึงเครียดอีกครั้ง และทำให้สถานการณ์ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกลับมา “น่าหวาดเสียว” ขึ้นมาทันที เพราะถ้าศาลชี้ออกมาเป็นลบ มันก็รู้กันแล้วว่าผลกระทบที่ตามมามันใหญ่หลวงนัก
ฝ่ายมวลชนคนเสื้อแดงที่ถูกปลุกระดมปูพื้นกันมาอย่างต่อเนื่องก็อาจออกมาป่วนอีกรอบ เพราะงานนี้มีการโยงไปถึง “อำมาตย์” ไปรื้อฟื้นกันอีกรอบ
ดังนั้น การหารือคราวนี้ก็เหมือนเป็นการหยั่งท่าทีกันให้ชัดเจนว่าจะวางตัวแบบไหน หรือไม่ก็ถามว่าอยากให้รัฐบาลวางบทบาทอย่างไร จะเดินหน้าเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ถอยร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรองดองออกไปก่อนดีหรือไม่ หรือว่าให้ถอยออกมาทั้งสองอย่างเพื่อแลกกับการอยู่ยาว แล้วต่างคนต่างอยู่ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป
อ้อแล้วต้องไม่ลืมว่ายังเป็นช่วงเข้าด้านเข้าเข็มเรื่องงบประมาณประจำปี กำลังแปรญัตติกันอย่างเข้มข้น ขอแบบวินวิน กันได้มั๊ย อย่าขวางปล่อยยาวแบบทางสะดวกได้หรือไม่ นี่แหละสำคัญ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าจับตาที่สุดก็คือ การปิดห้องหารือลับแบบนี้มันเหมือนกับมีเจตนาให้เป็นข่าว ทำเป็นซุบซิบให้เกิดความ “ระแวง” เหมือนกับการส่งสัญญาณบางอย่างไปถึง “อำมาตย์” ให้คิดมาก ไม่รู้ว่ากองทัพอ่อนระทวยไปแล้วหรือยัง
ดังนั้น การหารือกับบรรดาผู้นำเหล่าทัพแบบ “บิ๊กล็อต” ดังกล่าวมันย่อมมีอะไรในกอไผ่ ทั้งในเรื่องของการกระชับความสัมพันธ์ให้ปึ้กแบบน้ำพึ่งเรือ แบบพี่อยู่ได้น้องก็อยู่ได้ และเมื่อสถานการณ์เริ่มบานปลาย อาจควบคุมไม่อยู่ได้ทุกเมื่อ ก็ต้องนั่งเคลียร์กันให้เข้าใจ แต่ขณะเดียวกัน ต้องรับรู้ไว้ก่อนว่า คนคิดเกมนี้ไม่ใช่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ แต่เป็นใครนั้นสำหรับคอการเมืองคงไม่ต้องสาธยาย แต่เอาเป็นว่าฝ่ายที่ต้องหวั่นไหวมากกว่าใครรับรองว่าต้องเป็น ทักษิณ ชินวัตร แน่นอน!!