ได้ยินผู้คนเขาร่ำลือกันว่า ที่ประเทศพม่ามีหมอดูชื่อดัง เรียกกันว่า หมอดูอีที สามารถพยากรณ์ทำนายทายทักดวงชะตาชีวิตทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้แม่นยำราวตาเห็น และมีคนแอบสืบทราบมาว่า ทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของแม่หมออีที ที่แอบไปให้ตรวจดวงชะตาอยู่เป็นประจำ ท้ายบทความนี้ จะเปิดเผยว่า ล่าสุดแม่หมออีทีทำนายทายทักดวงชะตาทักษิณ ชินวัตรไว้ว่าอย่างไรบ้าง
ตอนนี้มาพูดถึงปัญหาบ้านปัญหาเมืองที่กำลังระอุคุกรุ่นกันก่อน ซึ่งผมรู้สึกผะอืดผะอมทุกครั้ง ที่ได้ฟังวาทกรรมของบรรดานักวิชาการที่ชอบพูดให้ดูดีว่า สังคมไทยควรจะก้าวข้ามพ้นทักษิณ ชินวัตรได้แล้ว หรือสังคมไทยหยุดอยู่ที่สถานีทักษิณ ชินวัตร นานเกินไปแล้ว สังคมไทยจึงไม่สามารถเดินหน้าต่อไป และสร้างความขัดแย้งแบ่งฝ่ายไม่สิ้นสุด
ผมรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เหมือนกับที่ได้ฟังนักวิชาการเสื้อแดงพร่ำพูดถึงแต่หลักการประชาธิปไตย ว่าต้องเชื่อในการตัดสินใจของประชาชน โดยเคารพผลการเลือกตั้ง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำดีหรือไม่ดีครบ 4 ปี ให้ประชาชนตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหม่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่อย่างเต็มอกว่าระบบและวิธีการเลือกตั้งมันฉ้อฉลคดโกงกันอย่างไร หรือต่อให้ชนะการเลือกตั้งตามกติกามาแล้ว ก็คงไม่ได้หมายความว่า ผู้ครอบครองอำนาจรัฐ ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จะทำระยำตำบอนต่อประเทศชาติอย่างไรก็ได้ ประชาชนก็ต้องทนรอไปอีก 4 ปี ซึ่งถึงเวลานั้นอาจไม่เหลือประเทศไทยเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ผมไม่เห็นด้วยและคิดต่างอย่างสิ้นเชิง ก็เพราะว่า ผมยังยืนยันว่าเราจำเป็นต้องหยุดอยู่ที่สถานีทักษิณ ชินวัตร อีกต่อไป โดยไม่อาจก้าวข้ามพ้นได้ เพราะถ้าทุกคนยอมรับอยู่กับความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ก็คือ ทักษิณ ชินวัตรไม่เคยหยุดยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสังคมไทยเลย ใช่หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ทักษิณ ชินวัตร ยังคงมีบทบาทสำคัญในการยึดกุมอำนาจรัฐ และมีอำนาจบงการทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งในทุกรูปแบบ
ความแตกแยกอย่างยับเยินของคนไทยและสังคมไทยทุกวันนี้ จึงขึ้นอยู่กับคนคนนี้ที่เป็นตัวแปรสำคัญอย่างไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงได้ นอกจากนักวิชาการที่หลับหูหลับตาบูชาหลักการโดยไม่สนใจรายละเอียดเนื้อหาข้อเท็จจริงที่แอบแฝงอยู่ในหลักการนั้นๆ ซึ่งฝ่ายทักษิณ เชี่ยวชาญชำนาญการในการฉ้อฉลเชิงหลักการนัก
การขยายเวลาสมัยการประชุมของรัฐสภาออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพียงเพื่อจะใช้เสียงข้างมากที่ได้เปรียบล้มล้างกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ตามใจตน ซึ่งก่อให้เกิดความระแวงแคลงใจของคนไทยโดยทั่วไปว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มล้างสถาบันหลักต่างๆ ของสังคมไทยที่คนไทยยึดมั่นศรัทธา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเสนอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ สอดแทรกเข้ามาอย่างรีบเร่งผิดปกติอีก ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มองออกและรู้ทันว่า เป้าหมายคือการนิรโทษกรรมความผิดของทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้กลับประเทศไทยแบบเท่ๆ อย่างที่เจ้าตัวป่าวประกาศ
พฤติการณ์เสมือนหนึ่งการใช้อำนาจบาทใหญ่เยี่ยงนี้ ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างรุนแรง มวลชนคนไทยที่ไม่เห็นด้วยและรับไม่ได้ ออกมาคัดค้านเต็มถนนหน้ารัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง เหล่านี้ใช่หรือไม่ว่า มันเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงอยู่กับคนคนเดียวอย่างแยกไม่ออก
และนับวันความขัดแย้งในสังคมไทย จะส่อเค้าว่าอาจแปรเป็นความรุนแรง ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เมื่อมีประชาชนส่วนหนึ่งไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด และ ศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยว่า พฤติการณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงข้างมากลากไปในรัฐสภา จะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญอันเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่? และศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณารับคำร้องทั้ง 5 คำร้อง เพราะรอการดองเรื่องถึงสามสี่เดือนของอัยการไม่ไหว และมีคำสั่งถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้แจ้งรัฐสภาชะลอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ส่งผลให้การเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นอันต้องยืดออกไป จากเดิมที่กำหนดโหวตวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา
และนำมาสู่ข้อโต้แย้งทางกฎหมายในประเด็นมาตรา 68 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าว มีทั้งนักกฎหมายที่เห็นด้วยกับการดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญ และนักกฎหมายที่เห็นแย้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิรับคำร้อง และคำสั่งศาลเป็นการก้าวล่วงก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญํติ
ซึ่งประเด็นความคิดเห็นต่างหลากหลายทางด้านกฎหมาย คงเป็นอีกความขัดแย้งหนึ่งที่เป็นข้อถกเถียงทางวิชาการอีกต่อไป และกาลเวลาจะพิสูจน์ชัดว่าใครฉ้อฉลใครอยู่เคียงข้างหลักนิติธรรมที่แท้จริง ในที่สุด
ปัญหาเฉพาะหน้าที่คาใจคนไทยส่วนหนึ่งอยู่ในขณะนี้ ก็คือ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังจะยอมนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ฝ่ายทักษิณและคนเสื้อแดง ใช้หลักการประชาธิปไตยปลอมๆ แอบอ้าง ปู้ยี่ปู้ยำขื่อแปบ้านเมืองถึงขั้นจะทำการล้มล้างคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลได้ กระนั้นหรือ
วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ประชาชนหลากหลายกลุ่มออกมาแสดงตนคัดค้านความไม่ชอบมาพากลของรัฐสภา แม้จะมีจำนวนหนาแน่นมากมายเกินคาด และสามารถระงับยับยั้งการพิจารณา พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติได้ แต่ในความเห็นส่วนตัว ผมยังเห็นว่าไม่มากพอ
ในสภาวการณ์ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกับฝ่ายวิชาการสยามประชาภิวัฒน์ ตั้งเป้ายกระดับการประท้วงถึงขั้นปฏิรูปประเทศไทยนั้น น่าจะต้องอาศัยมวลชนไม่น้อยกว่าครั้ง 16 ตุลาคม 2516 ที่เรียกได้ว่า มวลมหาประชาชนมืดฟ้ามัวดิน จึงจะมีพลังมากเพียงพอที่จะกดดันฝ่ายการเมืองได้สำเร็จ
การใช้ยุทธวิธีสัญจรให้ข้อมูลความรู้ความคิดแก่ประชาชนในภูมิภาค ที่เริ่มทำกันอยู่ น่าจะเป็นยุทธวิธีที่ถูกต้องในการจะเพิ่มแนวร่วม โดยปลุกพลังมวลชนที่ยังคงเป็นพลังเงียบและเป็นกองเชียร์หน้าจออยู่ ให้กล้าก้าวออกมาเพื่อเพิ่มพลังมวลชน
ผมยืนยันนะครับว่า สนามรบที่แท้จริงยังอยู่ที่สถานีทักษิณ ซึ่งไม่ควรก้าวข้ามส่วนขบวนเรือจ้างหรือขบวนรถไฟสายประชาธิปไตยสีแดงตามแต่จะเรียกขานกันนั้น คงเป็นแค่ส่วนประกอบที่ทักษิณจะเรียกวานขานใช้ตามใจต้องการ เพราะทั้งเรือและรถไฟสีแดงนั้นล้วนขับเคลื่อนได้โดยน้ำมันเชื้อเพลิงยี่ห้อทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
หมอดูอีทีทำนายว่า ฤกษ์กลับประเทศไทยของทักษิณ ชินวัตร มีแค่สองช่วง คือ วันที่ 26 กรกฎาคม 2555 กับวันที่ 16 สิงหาคม 2555 เท่านั้น พ้นจากวันนั้นไปอาจจะได้กลับมาแบบไม่ปกติธรรมดา
ว่ากันว่า หมอดูอีทีชาวพม่าคนนี้มีญาณพิเศษพยากรณ์ได้แม่นยำนัก เชื่อหรือไม่ก็ขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเฝ้าระวังสถานการณ์ในห้วงเวลาดังกล่าว อย่ากะพริบตา
ตอนนี้มาพูดถึงปัญหาบ้านปัญหาเมืองที่กำลังระอุคุกรุ่นกันก่อน ซึ่งผมรู้สึกผะอืดผะอมทุกครั้ง ที่ได้ฟังวาทกรรมของบรรดานักวิชาการที่ชอบพูดให้ดูดีว่า สังคมไทยควรจะก้าวข้ามพ้นทักษิณ ชินวัตรได้แล้ว หรือสังคมไทยหยุดอยู่ที่สถานีทักษิณ ชินวัตร นานเกินไปแล้ว สังคมไทยจึงไม่สามารถเดินหน้าต่อไป และสร้างความขัดแย้งแบ่งฝ่ายไม่สิ้นสุด
ผมรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ เหมือนกับที่ได้ฟังนักวิชาการเสื้อแดงพร่ำพูดถึงแต่หลักการประชาธิปไตย ว่าต้องเชื่อในการตัดสินใจของประชาชน โดยเคารพผลการเลือกตั้ง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะทำดีหรือไม่ดีครบ 4 ปี ให้ประชาชนตัดสินด้วยการเลือกตั้งใหม่ ทั้งๆ ที่รู้อยู่อย่างเต็มอกว่าระบบและวิธีการเลือกตั้งมันฉ้อฉลคดโกงกันอย่างไร หรือต่อให้ชนะการเลือกตั้งตามกติกามาแล้ว ก็คงไม่ได้หมายความว่า ผู้ครอบครองอำนาจรัฐ ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ จะทำระยำตำบอนต่อประเทศชาติอย่างไรก็ได้ ประชาชนก็ต้องทนรอไปอีก 4 ปี ซึ่งถึงเวลานั้นอาจไม่เหลือประเทศไทยเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ผมไม่เห็นด้วยและคิดต่างอย่างสิ้นเชิง ก็เพราะว่า ผมยังยืนยันว่าเราจำเป็นต้องหยุดอยู่ที่สถานีทักษิณ ชินวัตร อีกต่อไป โดยไม่อาจก้าวข้ามพ้นได้ เพราะถ้าทุกคนยอมรับอยู่กับความเป็นจริงที่ดำรงอยู่ ก็คือ ทักษิณ ชินวัตรไม่เคยหยุดยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสังคมไทยเลย ใช่หรือไม่ว่า ทุกวันนี้ทักษิณ ชินวัตร ยังคงมีบทบาทสำคัญในการยึดกุมอำนาจรัฐ และมีอำนาจบงการทางการเมืองอย่างโจ่งแจ้งในทุกรูปแบบ
ความแตกแยกอย่างยับเยินของคนไทยและสังคมไทยทุกวันนี้ จึงขึ้นอยู่กับคนคนนี้ที่เป็นตัวแปรสำคัญอย่างไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงได้ นอกจากนักวิชาการที่หลับหูหลับตาบูชาหลักการโดยไม่สนใจรายละเอียดเนื้อหาข้อเท็จจริงที่แอบแฝงอยู่ในหลักการนั้นๆ ซึ่งฝ่ายทักษิณ เชี่ยวชาญชำนาญการในการฉ้อฉลเชิงหลักการนัก
การขยายเวลาสมัยการประชุมของรัฐสภาออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพียงเพื่อจะใช้เสียงข้างมากที่ได้เปรียบล้มล้างกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2550 แล้วเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ตามใจตน ซึ่งก่อให้เกิดความระแวงแคลงใจของคนไทยโดยทั่วไปว่า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มล้างสถาบันหลักต่างๆ ของสังคมไทยที่คนไทยยึดมั่นศรัทธา แค่นั้นยังไม่พอ ยังเสนอ พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติ สอดแทรกเข้ามาอย่างรีบเร่งผิดปกติอีก ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็มองออกและรู้ทันว่า เป้าหมายคือการนิรโทษกรรมความผิดของทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้กลับประเทศไทยแบบเท่ๆ อย่างที่เจ้าตัวป่าวประกาศ
พฤติการณ์เสมือนหนึ่งการใช้อำนาจบาทใหญ่เยี่ยงนี้ ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างรุนแรง มวลชนคนไทยที่ไม่เห็นด้วยและรับไม่ได้ ออกมาคัดค้านเต็มถนนหน้ารัฐสภาอีกครั้งหนึ่ง เหล่านี้ใช่หรือไม่ว่า มันเกี่ยวข้องเกี่ยวโยงอยู่กับคนคนเดียวอย่างแยกไม่ออก
และนับวันความขัดแย้งในสังคมไทย จะส่อเค้าว่าอาจแปรเป็นความรุนแรง ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เมื่อมีประชาชนส่วนหนึ่งไปยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด และ ศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยว่า พฤติการณ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงข้างมากลากไปในรัฐสภา จะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญอันเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่? และศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณารับคำร้องทั้ง 5 คำร้อง เพราะรอการดองเรื่องถึงสามสี่เดือนของอัยการไม่ไหว และมีคำสั่งถึงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ให้แจ้งรัฐสภาชะลอการดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ส่งผลให้การเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นอันต้องยืดออกไป จากเดิมที่กำหนดโหวตวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา
และนำมาสู่ข้อโต้แย้งทางกฎหมายในประเด็นมาตรา 68 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องดังกล่าว มีทั้งนักกฎหมายที่เห็นด้วยกับการดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญ และนักกฎหมายที่เห็นแย้งว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิรับคำร้อง และคำสั่งศาลเป็นการก้าวล่วงก้าวก่ายอำนาจนิติบัญญํติ
ซึ่งประเด็นความคิดเห็นต่างหลากหลายทางด้านกฎหมาย คงเป็นอีกความขัดแย้งหนึ่งที่เป็นข้อถกเถียงทางวิชาการอีกต่อไป และกาลเวลาจะพิสูจน์ชัดว่าใครฉ้อฉลใครอยู่เคียงข้างหลักนิติธรรมที่แท้จริง ในที่สุด
ปัญหาเฉพาะหน้าที่คาใจคนไทยส่วนหนึ่งอยู่ในขณะนี้ ก็คือ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังจะยอมนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้ฝ่ายทักษิณและคนเสื้อแดง ใช้หลักการประชาธิปไตยปลอมๆ แอบอ้าง ปู้ยี่ปู้ยำขื่อแปบ้านเมืองถึงขั้นจะทำการล้มล้างคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลได้ กระนั้นหรือ
วันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่ประชาชนหลากหลายกลุ่มออกมาแสดงตนคัดค้านความไม่ชอบมาพากลของรัฐสภา แม้จะมีจำนวนหนาแน่นมากมายเกินคาด และสามารถระงับยับยั้งการพิจารณา พ.ร.บ.ว่าด้วยการปรองดองแห่งชาติได้ แต่ในความเห็นส่วนตัว ผมยังเห็นว่าไม่มากพอ
ในสภาวการณ์ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกับฝ่ายวิชาการสยามประชาภิวัฒน์ ตั้งเป้ายกระดับการประท้วงถึงขั้นปฏิรูปประเทศไทยนั้น น่าจะต้องอาศัยมวลชนไม่น้อยกว่าครั้ง 16 ตุลาคม 2516 ที่เรียกได้ว่า มวลมหาประชาชนมืดฟ้ามัวดิน จึงจะมีพลังมากเพียงพอที่จะกดดันฝ่ายการเมืองได้สำเร็จ
การใช้ยุทธวิธีสัญจรให้ข้อมูลความรู้ความคิดแก่ประชาชนในภูมิภาค ที่เริ่มทำกันอยู่ น่าจะเป็นยุทธวิธีที่ถูกต้องในการจะเพิ่มแนวร่วม โดยปลุกพลังมวลชนที่ยังคงเป็นพลังเงียบและเป็นกองเชียร์หน้าจออยู่ ให้กล้าก้าวออกมาเพื่อเพิ่มพลังมวลชน
ผมยืนยันนะครับว่า สนามรบที่แท้จริงยังอยู่ที่สถานีทักษิณ ซึ่งไม่ควรก้าวข้ามส่วนขบวนเรือจ้างหรือขบวนรถไฟสายประชาธิปไตยสีแดงตามแต่จะเรียกขานกันนั้น คงเป็นแค่ส่วนประกอบที่ทักษิณจะเรียกวานขานใช้ตามใจต้องการ เพราะทั้งเรือและรถไฟสีแดงนั้นล้วนขับเคลื่อนได้โดยน้ำมันเชื้อเพลิงยี่ห้อทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น
หมอดูอีทีทำนายว่า ฤกษ์กลับประเทศไทยของทักษิณ ชินวัตร มีแค่สองช่วง คือ วันที่ 26 กรกฎาคม 2555 กับวันที่ 16 สิงหาคม 2555 เท่านั้น พ้นจากวันนั้นไปอาจจะได้กลับมาแบบไม่ปกติธรรมดา
ว่ากันว่า หมอดูอีทีชาวพม่าคนนี้มีญาณพิเศษพยากรณ์ได้แม่นยำนัก เชื่อหรือไม่ก็ขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเฝ้าระวังสถานการณ์ในห้วงเวลาดังกล่าว อย่ากะพริบตา