ASTVผู้จัดการรายวัน – เปิดผลวิจัยไทยวิว ชี้ความพร้อมไทยเป็นผู้นำ รับการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีก 3 ปีข้างหน้าต่ำ แนะรัฐเตรียมพัฒนาการศึกษา บุคลากร อกหัก”ปู”คนกรุงคาดหวังเศรษฐกิจดี ความเชื่อมั่นลดวูบ
สำหรับการวิจัยถึงความเชื่อมั่นของคนกรุงเทพต่อสภาพเศรษฐกิจภายหลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 หรือผลการทำงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่าความเชื่อมั่นกลับลดลงจาก 44% เหลือ 39% เพราะไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง หลังจากเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ค่าครองชีพกลับสูงขึ้น สินค้ามีราคาแพง นอกจากนี้ผลงานยังไม่แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ส่วนคนเมืองมองว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้นกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว และสิ่งที่กรุงเทพเชื่อว่าแย่ลง คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหาคอรัปชั่นและความปรองดองในสังคม
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการจัดทำผลการวิจัย”ไทยวิว”ครั้งที่ 17 ในความคิดเห็นต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2558 ต่อการรับรู้ของประชาชนและบทบาทของภาครัฐ โดยทำการสำรวจความคิดเห็นคนกรุงเทพ จำนวน 400 คน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม –17 เมษายน 2555 ในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีรายได้ 1หมื่นบาทขึ้นไป พบว่า
ความพร้อมของไทยในการเป็นผู้นำในอาเซียนยังต่ำ หากเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีก 3 ปีข้างหน้านี้ เพราะปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมือง ความขัดแย้งการเมือง 48% และปัญหาอื่นๆ คอรัปชั่นที่ทำให้ลดความน่าเชื่อถือของชาวต่างชาติ 18% และการศึกษาที่ล้าหลัง
ขณะที่จุดแข็งของประเทศไทยที่อาจนำไปสู่การเป็นผู้นำกลุ่มอาเซียน คือ การเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยว 24% อุตสาหกรรมส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ข้าวหอมมะลิ ยางพารา ผลไม้ ฯลฯ 21% มีบุคคลากรที่มีความรู้ ด้านวิชาการ แรงงาน และงานฝีมือ 7% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อมรับกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คือ พัฒนาด้านการศึกษา 57% พัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากร 56% ลดปัญหาคอรัปชั่น 48% พัฒนาระบบการเมืองให้มีประสิทธิภาพ 46% และดำเนินนโยบายเชิงรุก 44% ส่วนการเตรียมความพร้อมคนไทย คือ การพัฒนาการทำงานหรือพัฒนาธุรกิจ 68% ศึกษาภาษาของประเทศกลุ่มอาเซียนและภาษาอังกฤษมากขึ้น 62% และมองหาโอกาสการทำธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน 50%
“รัฐบาล”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องทำการบ้านให้มากกว่านี้ คือไม่ใช่มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง กำลังการซื้อ สินค้าราคาแพง แต่ต้องมองถึงการเตรียมพร้อมของไทยต่อการก้าวสู่เวทีสากลให้มากขึ้น”
***คนกรุงรับรู้AECน้อยมาก
จากการสำรวจคนกรุงเทพเพียง 49% ที่รู้เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และอีก 51% ไม่เคยได้รับข้อมูล สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังขาดความรู้เกี่ยวกับเออีซีอยู่มาก โดยข้อมูลที่รับรู้ คือ เป็นการรวมตัวของประเทศในเขตเอเชีย เพื่อทำธุรกิจร่วมกันทางการค้า 21% ส่วนข้อดีของการเข้าร่วม มองว่าทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยดีขึ้น 81% มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี 78% และมีโอกาสทำงานประเทศอาเซียนมากขึ้น 78% ส่วนข้อเสีย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนกรุงมีความกังวลยังคงเป็น 5 อันดับเหมือนเดิม คือ 1.ราคาสินค้าและพลังงาน 2.ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ 3.ปัญหายาเสพติด 4.การเงินไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงชีพ และใช้จ่ายในด้านต่างๆ 5.การเอาเปรียบผู้บริโภค
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องกระตุ้นให้ประชาชนเกิดการใช้จ่าย แต่ที่ผ่านมากลับฝืนกลไกตลาด มีการควบคุมราคาสินค้า และทำให้เกิดการกักตุนสินค้า ส่วนการซื้อสินค้าอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า 46% ของคนกรุงมีแผนจะซื้อลดลงจากการสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 2554
สำหรับการวิจัยถึงความเชื่อมั่นของคนกรุงเทพต่อสภาพเศรษฐกิจภายหลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2554 หรือผลการทำงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา พบว่าความเชื่อมั่นกลับลดลงจาก 44% เหลือ 39% เพราะไม่ได้เป็นไปตามคาดหวัง หลังจากเข้ามาบริหารประเทศแล้ว ค่าครองชีพกลับสูงขึ้น สินค้ามีราคาแพง นอกจากนี้ผลงานยังไม่แตกต่างจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ส่วนคนเมืองมองว่าเศรษฐกิจไม่ได้ดีขึ้นกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว และสิ่งที่กรุงเทพเชื่อว่าแย่ลง คือ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การแก้ปัญหาคอรัปชั่นและความปรองดองในสังคม
นางสาววิริยา วรกิตติคุณ นายกสมาคมวิจัยการตลาดแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการจัดทำผลการวิจัย”ไทยวิว”ครั้งที่ 17 ในความคิดเห็นต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งเกิดขึ้นในปี 2558 ต่อการรับรู้ของประชาชนและบทบาทของภาครัฐ โดยทำการสำรวจความคิดเห็นคนกรุงเทพ จำนวน 400 คน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม –17 เมษายน 2555 ในกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีรายได้ 1หมื่นบาทขึ้นไป พบว่า
ความพร้อมของไทยในการเป็นผู้นำในอาเซียนยังต่ำ หากเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนอีก 3 ปีข้างหน้านี้ เพราะปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมือง ความขัดแย้งการเมือง 48% และปัญหาอื่นๆ คอรัปชั่นที่ทำให้ลดความน่าเชื่อถือของชาวต่างชาติ 18% และการศึกษาที่ล้าหลัง
ขณะที่จุดแข็งของประเทศไทยที่อาจนำไปสู่การเป็นผู้นำกลุ่มอาเซียน คือ การเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยว 24% อุตสาหกรรมส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ข้าวหอมมะลิ ยางพารา ผลไม้ ฯลฯ 21% มีบุคคลากรที่มีความรู้ ด้านวิชาการ แรงงาน และงานฝีมือ 7% อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อมรับกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คือ พัฒนาด้านการศึกษา 57% พัฒนาประสิทธิภาพของบุคลากร 56% ลดปัญหาคอรัปชั่น 48% พัฒนาระบบการเมืองให้มีประสิทธิภาพ 46% และดำเนินนโยบายเชิงรุก 44% ส่วนการเตรียมความพร้อมคนไทย คือ การพัฒนาการทำงานหรือพัฒนาธุรกิจ 68% ศึกษาภาษาของประเทศกลุ่มอาเซียนและภาษาอังกฤษมากขึ้น 62% และมองหาโอกาสการทำธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน 50%
“รัฐบาล”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ต้องทำการบ้านให้มากกว่านี้ คือไม่ใช่มุ่งแก้ปัญหาปากท้อง กำลังการซื้อ สินค้าราคาแพง แต่ต้องมองถึงการเตรียมพร้อมของไทยต่อการก้าวสู่เวทีสากลให้มากขึ้น”
***คนกรุงรับรู้AECน้อยมาก
จากการสำรวจคนกรุงเทพเพียง 49% ที่รู้เรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และอีก 51% ไม่เคยได้รับข้อมูล สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยยังขาดความรู้เกี่ยวกับเออีซีอยู่มาก โดยข้อมูลที่รับรู้ คือ เป็นการรวมตัวของประเทศในเขตเอเชีย เพื่อทำธุรกิจร่วมกันทางการค้า 21% ส่วนข้อดีของการเข้าร่วม มองว่าทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยดีขึ้น 81% มีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี 78% และมีโอกาสทำงานประเทศอาเซียนมากขึ้น 78% ส่วนข้อเสีย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนกรุงมีความกังวลยังคงเป็น 5 อันดับเหมือนเดิม คือ 1.ราคาสินค้าและพลังงาน 2.ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ 3.ปัญหายาเสพติด 4.การเงินไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงชีพ และใช้จ่ายในด้านต่างๆ 5.การเอาเปรียบผู้บริโภค
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องกระตุ้นให้ประชาชนเกิดการใช้จ่าย แต่ที่ผ่านมากลับฝืนกลไกตลาด มีการควบคุมราคาสินค้า และทำให้เกิดการกักตุนสินค้า ส่วนการซื้อสินค้าอีก 6 เดือนข้างหน้า พบว่า 46% ของคนกรุงมีแผนจะซื้อลดลงจากการสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 2554
