xs
xsm
sm
md
lg

37% เบื่อหน่ายรัฐบาล มากกว่าครึ่งขอเป็นพลังเงียบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้(13 พ.ค.55)นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง จุดยืนทางการเมืองกับความรู้สึกต่อรัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จากกลุ่มตัวอย่างของประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี สมุทรปราการ สุพรรณบุรี ชลบุรี พิจิตร สุโขทัย เชียงใหม่ หนองคาย สกลนคร อุบลราชธานี ยโสธร กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ตรัง สุราษฎร์ธานี และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,048 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 8 - 12 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 90 ติดตามข่าวสารเป็นประจำทุกสัปดาห์
เมื่อถามถึงจุดยืนทางการเมืองของประชาชนล่าสุด พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 63.1 ขออยู่ตรงกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือขอเป็นพลังเงียบ ในขณะที่ร้อยละ 26.3 ประกาศตัวว่าสนับสนุนรัฐบาล แต่ร้อยละ 10.6 ระบุไม่สนับสนุนรัฐบาล ตามลำดับ
เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบว่า ร้อยละ 37.8 รู้สึกเบื่อหน่ายไม่สนใจแล้ว รัฐบาลอยากทำอะไรก็ทำไป อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ร้อยละ 62.2 ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ขอให้รัฐบาลตั้งใจทำงานต่อไป
ที่น่าสนใจคือ เมื่อจำแนกความรู้สึกของประชาชนต่อรัฐบาลออกตามจุดยืนทางการเมืองพบว่า กลุ่มคนที่สนับสนุนรัฐบาลส่วนใหญ่หรือกว่าร้อยละ 90 คือร้อยละ 92.5 ไม่รู้สึกเบื่อหน่ายรัฐบาล ขอให้รัฐบาลตั้งใจทำงานต่อไป แต่กลุ่มคนที่ไม่หนุนรัฐบาลส่วนใหญ่หรือร้อยละ 83.0 ของคนกลุ่มนี้รู้สึกเบื่อหน่ายไม่สนใจแล้ว รัฐบาลอยากทำอะไรก็ทำไป โดยทั้งนี้กลุ่มพลังเงียบจำนวนมากหรือร้อยละ 42.9 ก็รู้สึกเบื่อหน่ายเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ของกลุ่มพลังเงียบคือร้อยละ 57.1 ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ขอให้รัฐบาลตั้งใจทำงานต่อไป
เมื่อจำแนกประชาชนออกตามพื้นที่นอกเขตเทศบาล ในเขตเทศบาล และกรุงเทพมหานคร พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 60 ของทั้งสามพื้นที่ยังคงไม่รู้สึกเบื่อหน่ายขอให้รัฐบาลตั้งใจทำงานต่อไป แต่พบมากในกลุ่มประชาชนที่อาศัยในเขตเทศบาลร้อยละ 38.8 และพื้นที่กรุงเทพมหานครร้อยละ 40.1 ที่รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่สนใจแล้ว รัฐบาลอยากทำอะไรก็ทำไป
เมื่อสอบถามถึง ความเป็นผู้นำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังเกิดเหตุคาร์บอม พบว่า ร้อยละ 42.9 ระบุมีความเป็นผู้นำเพิ่มขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 50.1 ระบุเหมือนเดิม แต่มีเพียงร้อยละ 7.0 เท่านั้นที่ระบุลดลง
โดยเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนในเรื่องนี้เมื่อจำแนกกลุ่มประชาชนออกตามจุดยืนทางการเมืองพบว่า ส่วนใหญ่ของกลุ่มคนที่หนุนรัฐบาลหรือร้อยละ 75.4 ระบุนางสาวยิ่งลักษณ์มีความเป็นผู้นำเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มคนที่ไม่หนุนรัฐบาลส่วนใหญ่หรือร้อยละ 64.4 ระบุเหมือนเดิม และกลุ่มพลังเงียบร้อยละ 58.8 ที่ระบุความเป็นผู้นำนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม กลุ่มพลังเงียบจำนวนมากหรือร้อยละ 35.3 ระบุความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีเพิ่มขึ้น
ที่น่าเป็นห่วงคือ พฤติกรรมของสมาชิกผู้ทรงเกียรติในการประชุมสภาฯ พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 55.8 ไม่อยากดู เพราะ เบื่อหน่าย เครียด เซ็งพฤติกรรมของสมาชิกผู้ทรงเกียรติ มีแต่ทะเลาะกัน หาเรื่องกันไม่จบสิ้น ไม่สร้างสรรค์ ไม่เป็นแบบอย่างที่ดีต่อเด็กและเยาวชน เป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้จักพัฒนาขึ้น ใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ มีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่เหมาะสม จ้องแต่จะชนะคะคานกัน น่าจะมีอักษรเตือนเป็น “ฉ” อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 44.2 ยังคงอยากดู เพราะจะได้รู้ทันสถานการณ์ รู้พฤติกรรมของคนที่เป็นผู้แทนเอาไว้ตัดสินใจช่วงเลือกตั้ง และอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องไม่เบื่อหน่าย ต้องเฝ้าติดตามการประชุมในสภาฯ เพราะเป็นประชาธิปไตย
ผอ.เอแบคโพลล์ กล่าวว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ชัดว่า ในสถานการณ์การเมืองที่กำลังเริ่มปะทุวุ่นวายเวลานี้ส่งผลให้ผู้คนส่วนใหญ่กลับไปอยู่ตรงกลางคือ “ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือขออยู่เป็นพลังเงียบ” และจำนวนมากเริ่มเบื่อหน่ายท้อแท้ใจ ไม่สนใจและปล่อยให้รัฐบาลอยากทำอะไรก็ทำไป รวมถึงไม่อยากดูการประชุมสภาฯ อันทรงเกียรติ ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายต่อการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ดังนั้น ทุกๆ ฝ่ายต้องช่วยกันโดยรัฐบาลเองต้องใส่ใจกับความรู้สึกของคนจำนวนมากเหล่านี้อย่างน้อยสองประการ คือ
ประการแรก ต้องทำให้คนไม่เบื่อการทำงานของรัฐบาล โดยมีกิจกรรมสร้างสรรค์ทางการเมืองแบบประชาธิปไตยเกิดขึ้นในระดับชุมชนท้องถิ่น วิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมจึงมีแนวคิดกันว่า “อยากทำอะไรก็ทำไป” เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนจำนวนมาก สาเหตุเกิดจากความผิดหวัง ความเกลียด และความไม่เป็นธรรมกับคนเหล่านี้หรือไม่ จำเป็นต้องวิเคราะห์ลงไปสู่ระดับพื้นที่และคนกลุ่มต่างๆ เพื่อลดแรงเสียดทานการทำงานของรัฐบาล
ประการที่สอง สมาชิกสภาอันทรงเกียรติต้องทำให้การประชุมเป็นที่พึ่งและความหวังของสาธารณชนได้ โดยรัฐบาลต้องให้ความสำคัญต่อการประชุมสภาอย่างยิ่ง ถ้าไม่เช่นนั้นจะทำให้สถาบันหลักทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยถูกทำลายและการเมืองของประเทศชาติจะถดถอยกลับไปสู่บรรยากาศทางการเมืองที่นานาประเทศทั่วโลกไม่ยอมรับ และผลประโยชน์จะตกไปอยู่กับมือคนเพียงหยิบมือเดียว ปัญหาคอรัปชั่นก็ยังจะเหมือนเดิม ความเดือดร้อนของสาธารณชนก็จะไม่ได้รับการเหลียวแลเอาใจใส่เพราะเสียงของประชาชนจะไม่มีความสำคัญมากนักในการปกครองแบบอื่นที่ไม่เป็นประชาธิปไตย
ดังนั้น เพื่อลดทอนความกังวล ความเครียดของกลุ่มคนที่รักประชาธิปไตยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถ้าหากฝ่ายการเมืองเล็งเห็นว่าเหตุการณ์ความขัดแย้งของคนในชาติจะลุกลามบานปลายจนเกินจะควบคุมได้ ทางออกเพื่อป้องกัน “ความไม่เป็นประชาธิปไตย” โดยรัฐบาลเองก็จะได้รับความชื่นชมจนกลบความล้มเหลวในการแก้ปัญหา “ของแพง” ได้ และบ้านเมืองก็ไม่ถดถอย ทางออกนั้นคือ การคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่เพราะจะช่วยสกัดกั้นขบวนการอำนาจอื่นใดที่นานาชาติไม่ยอมรับจนอาจสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมากกว่างบประมาณที่ใช้ในการเลือกตั้งเสียอีก และหากจำเป็นต้องเลือกตั้งหรือเปลี่ยนผู้นำประเทศไปจนคนอาจจำไม่ได้ว่าผู้นำประเทศชื่ออะไรแต่ก็ยังดีที่สามารถดำรงไว้ซึ่งความเป็นตัวแทนของประชาชนและการมีส่วนร่วมของสาธารณชนในการกำหนดชะตาและทิศทางการพัฒนาประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
กำลังโหลดความคิดเห็น