ASTVผู้จัดการรายวัน – สบน.เมินกู้เงินจากตลาดเงินระยะสั้นหลังต้นทุนพุ่งสูงลิ่วกว่าออกบอนด์ยาว 10 ปี พร้อมปรับแผนออกตั๋วพีเอ็นให้ธ.ก.ส.ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวแทนการกู้แบงก์เหมือนที่ผ่านมา จี้ธปท.ทบทวนนโยบายดูดซับสภาพคล่องหลังดูดเงินในระบบเข้าไปเก็บไว้สูงเกินส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชน
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยในตลาดกู้เงินระยะสั้นที่มีต้นทุนสูงขึ้นมาก แม้จะเป็นการกู้เงินโดยกระทรวงการคลังพบว่าล่าสุดดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นไปอยู่ในระดับ 4% ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว 10 ปี ประกอบกับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอย่างธนาคารออมสิน หรือธนาคารพาณิชย์อย่างกรุงไทยเองระบุว่ามี่สภาพคล่องส่วนเกินเหลือให้รัฐบาลกู้ ทำให้สบน.ตัดสินใจเลิกกู้จากตลาดเงินและกู้แบบเทอมโลนจากสถาบันการเงินมาใช้เครื่องมือการกู้เงินของตัวเองอย่างตั๋วพีเอ็นที่เป็นการกู้เงินระยะสั้นเช่นกัน
“ในเมื่อสบน.กู้เงินในตลาดเงินระยะสั้นได้ดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายและดอกเบี้ยไบบอร์ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพึ่งพาการระดมเงินผ่านช่องทางดังกล่าว ขณะนี้จึงปรับเปลี่ยนแผนการกู้เงินใหม่ทั้งหมด โดยหันมากู้ยืมเงินระยะสั้นโดยการการออกตั๋วเงินคลังระยะสั้น 3-6 เดือนแทน หมุนเวียนไปเรื่อยๆ หรืออาจออกอายุ 1 ปี- 3 ปีก็ได้เนื่องจากสามารถควบคุมดอกเบี้ยในตลาดดังกล่าวได้ และต้นทุนต่ำกว่ากู้จากตลาดเงินถึง 0.6-0.7%”นายจักรกฤศฎิ์กล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการพันธบัตรระดมระดมเงินเองของกระทรวงการคลังอายุ 10 ปี จะมีต้นทุนอยู่ที่ 3.7% แต่หากเข้าไปกู้ในตลาดเงินตามดอกเบี้ยไบบอร์ 4 ปี กลับมีต้นทุนอยู่ที่ 4% ซึ่งไม่สะท้อนการดูแลดอกเบี้ยในระบบให้เป็นไปตามความเป็นจริง จึงมองว่าการพัฒนาให้เกิดไบบอร์คงไม่เกิดขึ้นจริง ต่อไปการกู้เงินของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจึงจะหลีกเลี่ยงการกู้จากตลาดเงิน โดยล่าสุดการหาเงินกู้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เพื่อใช้ในโครงการจำนำข้าวนาปรังที่ผ่านมา วงเงิน 3 หมื่นล้านบาทก็ปรับเลี่ยนจากกู้เทอมโลนจากสถาบันการเงินมาเป็นการออกตั๋วพีเอ็นแทน มีต้นทุนที่ 3.35% ต่ำกว่า 4%ที่กู้จากตลาดเงิน โดยสัปดาห์นี้ก็จะระดมเงินอีก 3 หมื่นบาทให้ธ.ก.ส.และทยอยกู้ให้ตามความต้องการใช้เงิน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสภาพคล่องในระบบการเงินที่เคยมีการพูดถึงสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมากและมีเพียงพอจะใช้เงินกู้ในประเทศนั้น ขณะนี้หลายแบงก์ระบุว่าไม่มีสภาพคล่องเหลือพอ จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เร่งเข้าไปดูแลตลาด และดูเรื่องสภาพคล่องด้วยว่ามีการดูดซับมากไปหรือไม่ เพราะล่าสุดพบว่ามีสภาพคล่องส่วนเกินที่ธปท.ดูดกลบเข้าไปถึง 3.9 ล้านล้านบาท จึงอาจทำให้ภาคเอกชนมีปัญหาในการกู้เงินหรือระดมทุนในช่วงนี้ที่อาจต้องมีต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีนั้นพบว่าหลายแบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ให้จริงเพราะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยในตลาดกู้เงินระยะสั้นที่มีต้นทุนสูงขึ้นมาก แม้จะเป็นการกู้เงินโดยกระทรวงการคลังพบว่าล่าสุดดอกเบี้ยระยะสั้นขึ้นไปอยู่ในระดับ 4% ซึ่งเท่ากับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะยาว 10 ปี ประกอบกับธนาคารเฉพาะกิจของรัฐอย่างธนาคารออมสิน หรือธนาคารพาณิชย์อย่างกรุงไทยเองระบุว่ามี่สภาพคล่องส่วนเกินเหลือให้รัฐบาลกู้ ทำให้สบน.ตัดสินใจเลิกกู้จากตลาดเงินและกู้แบบเทอมโลนจากสถาบันการเงินมาใช้เครื่องมือการกู้เงินของตัวเองอย่างตั๋วพีเอ็นที่เป็นการกู้เงินระยะสั้นเช่นกัน
“ในเมื่อสบน.กู้เงินในตลาดเงินระยะสั้นได้ดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายและดอกเบี้ยไบบอร์ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพึ่งพาการระดมเงินผ่านช่องทางดังกล่าว ขณะนี้จึงปรับเปลี่ยนแผนการกู้เงินใหม่ทั้งหมด โดยหันมากู้ยืมเงินระยะสั้นโดยการการออกตั๋วเงินคลังระยะสั้น 3-6 เดือนแทน หมุนเวียนไปเรื่อยๆ หรืออาจออกอายุ 1 ปี- 3 ปีก็ได้เนื่องจากสามารถควบคุมดอกเบี้ยในตลาดดังกล่าวได้ และต้นทุนต่ำกว่ากู้จากตลาดเงินถึง 0.6-0.7%”นายจักรกฤศฎิ์กล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากการพันธบัตรระดมระดมเงินเองของกระทรวงการคลังอายุ 10 ปี จะมีต้นทุนอยู่ที่ 3.7% แต่หากเข้าไปกู้ในตลาดเงินตามดอกเบี้ยไบบอร์ 4 ปี กลับมีต้นทุนอยู่ที่ 4% ซึ่งไม่สะท้อนการดูแลดอกเบี้ยในระบบให้เป็นไปตามความเป็นจริง จึงมองว่าการพัฒนาให้เกิดไบบอร์คงไม่เกิดขึ้นจริง ต่อไปการกู้เงินของรัฐบาลหรือรัฐวิสาหกิจจึงจะหลีกเลี่ยงการกู้จากตลาดเงิน โดยล่าสุดการหาเงินกู้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เพื่อใช้ในโครงการจำนำข้าวนาปรังที่ผ่านมา วงเงิน 3 หมื่นล้านบาทก็ปรับเลี่ยนจากกู้เทอมโลนจากสถาบันการเงินมาเป็นการออกตั๋วพีเอ็นแทน มีต้นทุนที่ 3.35% ต่ำกว่า 4%ที่กู้จากตลาดเงิน โดยสัปดาห์นี้ก็จะระดมเงินอีก 3 หมื่นบาทให้ธ.ก.ส.และทยอยกู้ให้ตามความต้องการใช้เงิน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือสภาพคล่องในระบบการเงินที่เคยมีการพูดถึงสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมากและมีเพียงพอจะใช้เงินกู้ในประเทศนั้น ขณะนี้หลายแบงก์ระบุว่าไม่มีสภาพคล่องเหลือพอ จึงอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เร่งเข้าไปดูแลตลาด และดูเรื่องสภาพคล่องด้วยว่ามีการดูดซับมากไปหรือไม่ เพราะล่าสุดพบว่ามีสภาพคล่องส่วนเกินที่ธปท.ดูดกลบเข้าไปถึง 3.9 ล้านล้านบาท จึงอาจทำให้ภาคเอกชนมีปัญหาในการกู้เงินหรือระดมทุนในช่วงนี้ที่อาจต้องมีต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีนั้นพบว่าหลายแบงก์ยังไม่ปล่อยกู้ให้จริงเพราะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูง