*จิตสำนึกกับพลังของสนามควอนตัม*
สนามของควอนตัมอยู่เหนือความเป็นจริงในแต่ละวันของคนเรา และอยู่ใกล้ชิดอย่างยิ่งกับประสบการณ์ของคนเรา โดยผ่านการนึกคิดและการหายใจ เพราะแค่เรานึกถึงถ้อยคำจากความทรงจำ อารมณ์และจินตภาพบางอย่าง สิ่งเหล่านี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลง “สนาม” ทั้งหมดได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า “เมื่ออิเล็กตรอนหนึ่งสั่นไหว จักรวาลก็สั่นไหวด้วย” ไม่มีการขยับของกิจกรรมใดๆ ในเซลล์ของเราที่ข้ามสนามของควอนตัมทั้งหมดไปโดยไม่เป็นที่สังเกต
ทุกกระบวนการทางสรีระในระดับที่ละเอียดที่สุดของเรา จะถูกบันทึกอยู่ในเนื้อในของ “ธรรมชาติ” กล่าวคือ ยิ่งกระบวนการบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเชื่อมโยงกับกิจกรรมของจักรวาลมากขึ้นเท่านั้น การฝึก หายใจแบบควอนตัม ต่อไปนี้ จะทำให้เรามีประสบการณ์ของปรากฏการณ์นี้อย่างมีชีวิตชีวา และชัดเจนได้
...ทำตัวให้ผ่อนคลายสบายๆ จะนั่งหรือยืน หรือนอนก็ได้ แต่ต้องผ่อนคลาย ค่อยๆ หลับตาลง หายใจเข้าอย่างอ่อนโยน ช้าๆ จงจินตนาการตามไปด้วยว่า เรากำลังสูดเอาอากาศจากจุดที่ไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอากาศที่เข้ามาสู่ตัวเราจากริมขอบของจักรวาล จงรู้สึกถึงอากาศที่เย็นสบาย ที่กำลังแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายเราอย่างเนิบนาบ นิ่มนวล และหมดจด
จากนั้นให้หายใจออกช้าๆ และสบายๆ นำเอาทุกอะตอมของอากาศกลับไปยังแหล่งที่ไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมีเส้นด้ายที่ยืดยาวออกไปจากตัวเรา ไปยังขอบเขตที่ไกลโพ้นของจักรวาล
หรือเราจะจินตนาการให้ดวงดาว (ส่วนใหญ่มักจะใช้ดาวเหนือ) เป็นแหล่งที่มาของอากาศของเราก็ได้ ไม่ต้องกังวล หากเราเป็นคนจินตนาการไม่เก่ง ขอเพียงกุมคำว่า “ไร้ที่สิ้นสุด” ในขณะหายใจเข้า-ออกได้ ก็ใช้ได้แล้ว แต่ไม่ว่าเราจะใช้วิธีใดก็ตาม จุดหมายล้วนอยู่ที่การรู้สึกว่า ทุกลมหายใจที่เข้ามาถึงเรามาจากสนามควอนตัม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในระดับที่ละเอียดอ่อน การสร้างความทรงจำของการเชื่อมโยงกับสนามควอนตัมขึ้นใหม่ จะปลุกความทรงจำของการเริ่มต้นใหม่ในร่างกายของเรา
เมื่อได้ซึมซับความรู้ที่ว่า ร่างกายเราไม่ใช่รูปปั้นที่ตั้งโดดเดี่ยวในอวกาศและเวลาแล้ว เราต้องให้ นิยามใหม่ เกี่ยวกับตัวเราเองโดยการพูดข้อความต่อไปนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเงียบๆ กับตัวเราเอง
“ฉันสามารถใช้พลังแห่งจิตสำนึกของฉัน เพื่อสร้าง ประสบการณ์ของร่างกาย ที่เป็นการไหล (มิใช่ของแข็ง) เป็นความอ่อนหยุ่น (มิใช่แข็งทื่อ) เป็นควอนตัม (มิใช่วัตถุ) เป็นพลวัต (มิใช่สถิต) ประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารและพลังงาน (มิใช่ปฏิกิริยาทางเคมีที่ไร้กฎเกณฑ์) เป็นเครือข่ายของเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาล (มิใช่เครื่องจักรที่ไร้จิตใจ) เป็นความสดใหม่และการเริ่มต้นใหม่เสมอ (มิใช่เอนโทรปี และความแก่) เป็นสิ่งที่ไร้กาลเวลา (มิใช่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา)
นอกจากนี้ ยังมีข้อความที่ให้นิยามใหม่เกี่ยวกับตัวเราเองที่ดีเยี่ยมอีกชุดหนึ่งคือ
“ฉันไม่ใช่อะตอมของฉัน อะตอมเหล่านี้มาแล้วก็ไป
ฉันไม่ใช่ความคิดของฉัน ความคิดเหล่านี้มาแล้วก็ไป
ฉันไม่ใช่อีโก้ของฉัน มโนภาพต่อตัวฉันเองก็เปลี่ยนไปได้...ฉันอยู่เหนือพ้นเลยไปจากสิ่งเหล่านี้
ฉันเป็นผู้รู้ ผู้เห็นที่อยู่เหนืออายุขัย และไร้กาลเวลา”
การพูดข้อความเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวเองบ่อยๆ เป็นสิ่งที่ให้ผลมาก เพราะร่างกายเราเป็นอะไรที่มากกว่าวัตถุ ร่างกายของเราในฐานะที่เป็นกระบวนการจะเต็มไปด้วยข่าวสารทุกชนิดอย่างต่อเนื่อง ข่าวสารที่เป็นถ้อยคำที่เราได้ยินในหัวของเราเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของข้อมูลข่าวสารที่แลกเปลี่ยนกันจากเซลล์สู่เซลล์ทุกวินาที
เนื่องจากจิตสำนึกของคนเราทุกคนได้รับการแต่งเติมด้วยประสบการณ์ของอดีต กระแสของข้อมูลข่าวสารภายในตัวเราย่อมได้รับอิทธิพลจาก “รอยประทับ” ในระดับจิตไร้สำนึก (unconscious imprints) ที่เราแทบไม่สำเหนียกถึง ทั้งๆ ที่รอยประทับในระดับจิตไร้สำนึกเหล่านี้ มีส่วนในการทำลายกระแสที่ราบเรียบของข่าวสาร อันส่งผลให้เกิดความสูญเสียเชาวน์ปัญญา ซึ่งทำให้เกิดความแก่
แต่จงรู้ไว้เถิดว่า เราสามารถเปลี่ยน “รอยประทับ” เหล่านี้ได้โดยการให้ข้อสันนิษฐานใหม่ และความเชื่อใหม่ในระดับจิตไร้สำนึก เพื่อนำไปปฏิบัติ ทุกๆ ความคิดตามข้อสันนิษฐานใหม่ และความเชื่อใหม่ของเรา จะกระตุ้นโมเลกุลของข่าวสารในสมองเรา จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอัตโนมัติไปเป็นข้อมูลข่าวสารทางชีววิทยาด้วย การพูดข้อความใหม่ของความเชื่อใหม่เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมย้ำกับตัวเราเองว่าร่างกายเราไม่ถูกจำกัดโดยแบบแผนเก่า ข้อสันนิษฐานเก่า และโลกทัศน์เก่าอีกต่อไป จะนำไปสู่การผลิตข้อมูลข่าวสารทางชีววิทยาใหม่ได้ โดยอาศัยความเกี่ยวข้องของใจ-กาย และความรู้สึกของตัวเราเองที่ยอมรับนิยามใหม่ จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของเซลล์ในร่างกายของเราด้วย
จิตสำนึกของคนเราจึงมีพลังในการเปลี่ยนแปลงความแก่ จิตสำนึกก่อนการฝึกฝนเป็นเพียงสนามของพลังงาน และข้อมูลข่าวสารก็จริง แต่เมื่อใดที่เราฝึกฝนจิตสำนึกของเราให้มีแบบแผนทางจิตใจไปในทางสร้างสรรค์ เราจะได้รับการกระตุ้นไปสู่พฤติกรรมที่ยกระดับตนเอง และเมื่อนั้น สนามควอนตัมของเราจะมีพลังมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เพราะมันมีศักยภาพก่อให้เกิดการรวมตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเหตุการณ์ทั้งปวงในกาล-อวกาศ
การที่สนามควอนตัมทำให้เกิดแรงกระตุ้นทางจิตใจขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ นี้เอง ที่จะส่งผลให้เกิดข้อมูลข่าวสารทางชีววิทยาใหม่แก่ร่างกาย จิตสำนึกของเราจะมีพลังมากกว่าความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเรา เพราะการคงสภาพในการรังสรรค์เป็นเครื่องหมายของความไม่แก่ ในขณะที่ การสยบยอมต่อนิสัยเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ที่แข็งทื่อและพ้นสมัยเป็นเครื่องหมายของความแก่
คนส่วนใหญ่มักจะละเลยความจริงที่ว่า อิทธิพลที่มีพลังที่สุดต่อการแก่มาจากจิตสำนึกของเราเอง หากเราต้องการควบคุมกระบวนการแก่ เราก็ต้องตระหนักในเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก กล่าวคือ ถ้าเราไม่อยากแก่ เราก็ต้องเลือกที่จะไม่แก่ก่อนเป็นอันดับต้นๆ ในการใช้ชีวิต สิ่งที่เราทำในวันนี้ หรือใช้ชีวิตในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ร่องรอยของความชรายังไม่ปรากฏให้เห็นชัดในตัวเรา จะส่งผลปรากฏในอีก 30 ปีหรือ 40 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
การใช้ศักยภาพทางด้านร่างกาย และด้านจิตใจของเราให้เต็มที่ที่สุดตั้งแต่วัยหนุ่มสาว โดยการฝึกฝนทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ ทางความคิด ทางสติปัญญา และทางจิตวิญญาณอย่างบูรณาการ และอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงชีวิตของเรา จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะ “แก่อย่างประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” ได้
ศาสตร์ชะลอวัยมองว่า อายุของคนเรามี 3 แบบด้วยกันคือ อายุทางปฏิทิน (chronological age) อายุทางชีววิทยา (biological age) และอายุทางจิตวิทยา (psychological age) อายุทางปฏิทิน เป็นอายุที่คงที่แก้ไขไม่ได้ แต่เป็นอายุที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุดในสามแบบนี้ ขณะที่ อายุทางชีววิทยาซึ่งเป็นอายุร่างกายของเราตามความหมายของสัญลักษณ์ของชีวิต และกระบวนการของเซลล์ กับอายุทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นอายุตามความรู้สึกของตัวเรา เป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไข และทำให้ “ชะลอวัย” ได้ คนที่มีสุขภาพดี ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ จึงเป็นคนที่อายุทางชีววิทยานั้นแก่ช้า และอายุทางจิตวิทยากำลังอ่อนวัยลง
www.dragon-press.com
สนามของควอนตัมอยู่เหนือความเป็นจริงในแต่ละวันของคนเรา และอยู่ใกล้ชิดอย่างยิ่งกับประสบการณ์ของคนเรา โดยผ่านการนึกคิดและการหายใจ เพราะแค่เรานึกถึงถ้อยคำจากความทรงจำ อารมณ์และจินตภาพบางอย่าง สิ่งเหล่านี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลง “สนาม” ทั้งหมดได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่า “เมื่ออิเล็กตรอนหนึ่งสั่นไหว จักรวาลก็สั่นไหวด้วย” ไม่มีการขยับของกิจกรรมใดๆ ในเซลล์ของเราที่ข้ามสนามของควอนตัมทั้งหมดไปโดยไม่เป็นที่สังเกต
ทุกกระบวนการทางสรีระในระดับที่ละเอียดที่สุดของเรา จะถูกบันทึกอยู่ในเนื้อในของ “ธรรมชาติ” กล่าวคือ ยิ่งกระบวนการบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเชื่อมโยงกับกิจกรรมของจักรวาลมากขึ้นเท่านั้น การฝึก หายใจแบบควอนตัม ต่อไปนี้ จะทำให้เรามีประสบการณ์ของปรากฏการณ์นี้อย่างมีชีวิตชีวา และชัดเจนได้
...ทำตัวให้ผ่อนคลายสบายๆ จะนั่งหรือยืน หรือนอนก็ได้ แต่ต้องผ่อนคลาย ค่อยๆ หลับตาลง หายใจเข้าอย่างอ่อนโยน ช้าๆ จงจินตนาการตามไปด้วยว่า เรากำลังสูดเอาอากาศจากจุดที่ไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอากาศที่เข้ามาสู่ตัวเราจากริมขอบของจักรวาล จงรู้สึกถึงอากาศที่เย็นสบาย ที่กำลังแผ่ซ่านเข้ามาในร่างกายเราอย่างเนิบนาบ นิ่มนวล และหมดจด
จากนั้นให้หายใจออกช้าๆ และสบายๆ นำเอาทุกอะตอมของอากาศกลับไปยังแหล่งที่ไกลออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับมีเส้นด้ายที่ยืดยาวออกไปจากตัวเรา ไปยังขอบเขตที่ไกลโพ้นของจักรวาล
หรือเราจะจินตนาการให้ดวงดาว (ส่วนใหญ่มักจะใช้ดาวเหนือ) เป็นแหล่งที่มาของอากาศของเราก็ได้ ไม่ต้องกังวล หากเราเป็นคนจินตนาการไม่เก่ง ขอเพียงกุมคำว่า “ไร้ที่สิ้นสุด” ในขณะหายใจเข้า-ออกได้ ก็ใช้ได้แล้ว แต่ไม่ว่าเราจะใช้วิธีใดก็ตาม จุดหมายล้วนอยู่ที่การรู้สึกว่า ทุกลมหายใจที่เข้ามาถึงเรามาจากสนามควอนตัม ซึ่งเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในระดับที่ละเอียดอ่อน การสร้างความทรงจำของการเชื่อมโยงกับสนามควอนตัมขึ้นใหม่ จะปลุกความทรงจำของการเริ่มต้นใหม่ในร่างกายของเรา
เมื่อได้ซึมซับความรู้ที่ว่า ร่างกายเราไม่ใช่รูปปั้นที่ตั้งโดดเดี่ยวในอวกาศและเวลาแล้ว เราต้องให้ นิยามใหม่ เกี่ยวกับตัวเราเองโดยการพูดข้อความต่อไปนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเงียบๆ กับตัวเราเอง
“ฉันสามารถใช้พลังแห่งจิตสำนึกของฉัน เพื่อสร้าง ประสบการณ์ของร่างกาย ที่เป็นการไหล (มิใช่ของแข็ง) เป็นความอ่อนหยุ่น (มิใช่แข็งทื่อ) เป็นควอนตัม (มิใช่วัตถุ) เป็นพลวัต (มิใช่สถิต) ประกอบด้วยข้อมูลข่าวสารและพลังงาน (มิใช่ปฏิกิริยาทางเคมีที่ไร้กฎเกณฑ์) เป็นเครือข่ายของเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาล (มิใช่เครื่องจักรที่ไร้จิตใจ) เป็นความสดใหม่และการเริ่มต้นใหม่เสมอ (มิใช่เอนโทรปี และความแก่) เป็นสิ่งที่ไร้กาลเวลา (มิใช่ถูกจำกัดด้วยกาลเวลา)
นอกจากนี้ ยังมีข้อความที่ให้นิยามใหม่เกี่ยวกับตัวเราเองที่ดีเยี่ยมอีกชุดหนึ่งคือ
“ฉันไม่ใช่อะตอมของฉัน อะตอมเหล่านี้มาแล้วก็ไป
ฉันไม่ใช่ความคิดของฉัน ความคิดเหล่านี้มาแล้วก็ไป
ฉันไม่ใช่อีโก้ของฉัน มโนภาพต่อตัวฉันเองก็เปลี่ยนไปได้...ฉันอยู่เหนือพ้นเลยไปจากสิ่งเหล่านี้
ฉันเป็นผู้รู้ ผู้เห็นที่อยู่เหนืออายุขัย และไร้กาลเวลา”
การพูดข้อความเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวเองบ่อยๆ เป็นสิ่งที่ให้ผลมาก เพราะร่างกายเราเป็นอะไรที่มากกว่าวัตถุ ร่างกายของเราในฐานะที่เป็นกระบวนการจะเต็มไปด้วยข่าวสารทุกชนิดอย่างต่อเนื่อง ข่าวสารที่เป็นถ้อยคำที่เราได้ยินในหัวของเราเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของข้อมูลข่าวสารที่แลกเปลี่ยนกันจากเซลล์สู่เซลล์ทุกวินาที
เนื่องจากจิตสำนึกของคนเราทุกคนได้รับการแต่งเติมด้วยประสบการณ์ของอดีต กระแสของข้อมูลข่าวสารภายในตัวเราย่อมได้รับอิทธิพลจาก “รอยประทับ” ในระดับจิตไร้สำนึก (unconscious imprints) ที่เราแทบไม่สำเหนียกถึง ทั้งๆ ที่รอยประทับในระดับจิตไร้สำนึกเหล่านี้ มีส่วนในการทำลายกระแสที่ราบเรียบของข่าวสาร อันส่งผลให้เกิดความสูญเสียเชาวน์ปัญญา ซึ่งทำให้เกิดความแก่
แต่จงรู้ไว้เถิดว่า เราสามารถเปลี่ยน “รอยประทับ” เหล่านี้ได้โดยการให้ข้อสันนิษฐานใหม่ และความเชื่อใหม่ในระดับจิตไร้สำนึก เพื่อนำไปปฏิบัติ ทุกๆ ความคิดตามข้อสันนิษฐานใหม่ และความเชื่อใหม่ของเรา จะกระตุ้นโมเลกุลของข่าวสารในสมองเรา จนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างอัตโนมัติไปเป็นข้อมูลข่าวสารทางชีววิทยาด้วย การพูดข้อความใหม่ของความเชื่อใหม่เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมย้ำกับตัวเราเองว่าร่างกายเราไม่ถูกจำกัดโดยแบบแผนเก่า ข้อสันนิษฐานเก่า และโลกทัศน์เก่าอีกต่อไป จะนำไปสู่การผลิตข้อมูลข่าวสารทางชีววิทยาใหม่ได้ โดยอาศัยความเกี่ยวข้องของใจ-กาย และความรู้สึกของตัวเราเองที่ยอมรับนิยามใหม่ จนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของเซลล์ในร่างกายของเราด้วย
จิตสำนึกของคนเราจึงมีพลังในการเปลี่ยนแปลงความแก่ จิตสำนึกก่อนการฝึกฝนเป็นเพียงสนามของพลังงาน และข้อมูลข่าวสารก็จริง แต่เมื่อใดที่เราฝึกฝนจิตสำนึกของเราให้มีแบบแผนทางจิตใจไปในทางสร้างสรรค์ เราจะได้รับการกระตุ้นไปสู่พฤติกรรมที่ยกระดับตนเอง และเมื่อนั้น สนามควอนตัมของเราจะมีพลังมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เพราะมันมีศักยภาพก่อให้เกิดการรวมตัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเหตุการณ์ทั้งปวงในกาล-อวกาศ
การที่สนามควอนตัมทำให้เกิดแรงกระตุ้นทางจิตใจขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆ นี้เอง ที่จะส่งผลให้เกิดข้อมูลข่าวสารทางชีววิทยาใหม่แก่ร่างกาย จิตสำนึกของเราจะมีพลังมากกว่าความคิดอย่างใดอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเรา เพราะการคงสภาพในการรังสรรค์เป็นเครื่องหมายของความไม่แก่ ในขณะที่ การสยบยอมต่อนิสัยเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ที่แข็งทื่อและพ้นสมัยเป็นเครื่องหมายของความแก่
คนส่วนใหญ่มักจะละเลยความจริงที่ว่า อิทธิพลที่มีพลังที่สุดต่อการแก่มาจากจิตสำนึกของเราเอง หากเราต้องการควบคุมกระบวนการแก่ เราก็ต้องตระหนักในเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก กล่าวคือ ถ้าเราไม่อยากแก่ เราก็ต้องเลือกที่จะไม่แก่ก่อนเป็นอันดับต้นๆ ในการใช้ชีวิต สิ่งที่เราทำในวันนี้ หรือใช้ชีวิตในวันนี้ ซึ่งเป็นวันที่ร่องรอยของความชรายังไม่ปรากฏให้เห็นชัดในตัวเรา จะส่งผลปรากฏในอีก 30 ปีหรือ 40 ปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
การใช้ศักยภาพทางด้านร่างกาย และด้านจิตใจของเราให้เต็มที่ที่สุดตั้งแต่วัยหนุ่มสาว โดยการฝึกฝนทั้งทางร่างกาย ทางจิตใจ ทางความคิด ทางสติปัญญา และทางจิตวิญญาณอย่างบูรณาการ และอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงชีวิตของเรา จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะ “แก่อย่างประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” ได้
ศาสตร์ชะลอวัยมองว่า อายุของคนเรามี 3 แบบด้วยกันคือ อายุทางปฏิทิน (chronological age) อายุทางชีววิทยา (biological age) และอายุทางจิตวิทยา (psychological age) อายุทางปฏิทิน เป็นอายุที่คงที่แก้ไขไม่ได้ แต่เป็นอายุที่ไม่น่าเชื่อถือที่สุดในสามแบบนี้ ขณะที่ อายุทางชีววิทยาซึ่งเป็นอายุร่างกายของเราตามความหมายของสัญลักษณ์ของชีวิต และกระบวนการของเซลล์ กับอายุทางจิตวิทยา ซึ่งเป็นอายุตามความรู้สึกของตัวเรา เป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไข และทำให้ “ชะลอวัย” ได้ คนที่มีสุขภาพดี ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ จึงเป็นคนที่อายุทางชีววิทยานั้นแก่ช้า และอายุทางจิตวิทยากำลังอ่อนวัยลง
www.dragon-press.com