*การแปลความหมายใหม่ของร่างกายแบบควอนตัมในภาคปฏิบัติ*
การเปลี่ยนการแปลความหมายของร่างกายเราใหม่คือ การเริ่มต้นที่ดีที่สุดของ “การชะลอวัย” ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนเราแต่ละคน แปลความหมายของประสบการณ์ ซึ่งรวมทั้งประสบการณ์ของการมีอยู่ของร่างกายเราตามความเชื่อค่านิยม สมมติฐาน และความทรงจำส่วนตัวของตน
โลกทัศน์ของควอนตัมสอนเราว่า เรากำลังสร้างและไม่สร้างร่างกายเราอยู่ตลอดเวลา เบื้องหลังภาพลวงตาของการที่เห็นร่างกายเราเป็นวัตถุแข็ง และถาวรนั้น แท้ที่จริง ร่างกายเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง และตราบใดที่กระบวนการนั้นถูกนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ เซลล์ของร่างกายเราก็จะยังคงใหม่อยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
ดีปัก โชปรา ผู้เขียนหนังสือ “ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา” (พ.ศ. 2551, สำนักพิมพ์มติชน) บอกว่า เพื่อให้เรามีร่างกายที่เริ่มต้นใหม่ เราจึงต้องตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติเพื่อมีความรับรู้ใหม่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นแก่ผลลัพธ์ใหม่ โดยที่ เราต้องฝึกฝนเพื่อดูดซับความรู้ใหม่ของโลกทัศน์ควอนตัม ตามที่ปรับใช้กับร่างกายเรา แล้วหลอมรวมเข้ากับการฝึกเกี่ยวกับประสบการณ์ใหม่ซึ่งได้จากความรู้สึกภายใน ซึ่งเป็นระดับที่เหนือกว่าความรู้สึกจากประสาทสัมผัสทั้งห้า จนกระทั่งความรู้ใหม่กับประสบการณ์ใหม่นี้หลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว ซึ่งหมายความว่า เราได้ซึมซับโลกทัศน์ใหม่แทนที่โลกทัศน์เก่าอย่างเต็มที่แล้ว
การฝึกฝนนี้เริ่มจากการฝึกใช้ “ตาใน” ของเรา “แยกธาตุ” ในร่างกายของเรา...ขอให้ลองจินตนาการว่า เรากำลังตรวจมือของเราผ่านกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง ซึ่งมีเลนส์ที่สามารถทะลุผ่านองค์ประกอบที่เยี่ยมที่สุดของสสารและพลังงาน ในกำลังขยายที่ต่ำที่สุด เราจะไม่เห็นเนื้อที่เรียบลื่นบนมือของเราอีกต่อไป แต่จะเห็นเป็นกลุ่มของเซลล์แต่ละเซลล์ที่รวมกันอย่างหลวมๆ ด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) แต่ละเซลล์เป็นถุงชุ่มน้ำของโปรตีน ซึ่งดูเหมือนสายโซ่ยาวของโมเลกุลที่เล็กกว่า ยึดกันด้วยพันธะ (bonds) ที่มองไม่เห็น
เมื่อขยายใหญ่ขึ้นแล้วมองเข้าไปอีก เราจะเห็นอะตอมของไฮโดรเจนคาร์บอน ออกซิเจน และอื่นๆ ที่แยกกัน ไม่มีความเป็นของแข็งเลย เป็นแค่เงาลึกลับที่สั่นไหว ปรากฏผ่านกล้องจุทรรศน์เห็นเป็นแถบของแสงและความมืดเท่านั้น เมื่อขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะมาถึงเส้นแบ่งระหว่างสสารกับพลังงาน เราจะเห็นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมที่ประกอบขึ้นเป็นอะตอมมีอิเล็กตรอนหมุนรอบแกนของนิวเคลียส ที่ประกอบด้วยโปรตอนกับนิวตรอน ไม่ใช่เป็นรอยแต้มและจุดของสสาร แต่ดูคล้ายร่องรอยของแสงที่เป็นประกายคลื่นในความมืด
เมื่อถึงระดับนี้ เราจะพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าใจว่าเป็นของแข็งนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเส้นทางของพลังงานเท่านั้น ทันทีที่เราเห็นเส้นทางสายหนึ่ง พลังงานก็เคลื่อนย้ายไปที่อื่นแล้ว ไม่เหลืออะไรที่เป็นแก่นสารให้สัมผัสหรือมองเห็นได้ เส้นทางแต่ละเส้นเป็นเหตุการณ์ของควอนตัมซึ่งหายวับ และสลายไปในทันทีที่เห็นมัน
ตอนนี้ เราเริ่มจมลึกลงไปสู่ “อวกาศแห่งควอนตัม” แสงทั้งหมดหายไป แทนที่ด้วยหุบเหวที่เปิดกว้างของ “ความว่างเปล่า” ที่มืดดำ และเรากำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่เพียงสสารกับพลังงานเท่านั้นที่หายไป แต่ยังรวมถึงเวลา และอวกาศด้วย
เราทิ้ง “มือ” ของเราไว้เป็นเหตุการณ์ในกาล-อวกาศเหมือนกับเหตุการณ์อื่นในกาล-อวกาศทั้งหลายก่อน แล้วลองหันกลับมาถามถึงการดำรงอยู่ของ “ร่างกาย” เราว่ามีที่มาจากที่ไหนกันแน่
ร่างกายนี้ของเรา จะต้องมีต้นกำเนิดถัดไปจากมิติที่สี่อย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ก่อน” หรือ “หลัง” ในปริมณฑลนี้ และไม่มีนิยามของคำว่า “ใหญ่” หรือ “เล็ก”...ที่นี่ มือและร่างกายเราดำรงอยู่ก่อนบิ๊กแบง และภายหลังจุดจบของจักรวาล...เพราะที่นี่คือ “อู่” ของจักรวาล อันเป็นปริมณฑลก่อนควอนตัม ซึ่งไม่มีมิติและเป็นมิติทั้งหมด เราจึงอยู่ทุกที่และไม่อยู่ที่ไหนเลย
...ที่นี่ มือ และร่างกายของเรา มิได้ยุติการดำรงอยู่ เพราะในการข้ามเส้นแบ่งของมิติที่สี่นั้น เราไม่ได้ไปที่ไหนเลย ความเข้าใจทั้งหลายของตำแหน่ง และเวลาใช้ไม่ได้อีกต่อไป ระดับที่หยาบที่สุดของการรับรู้ของเรายังคงใช้ได้ มือเรายังคงอยู่ที่ระดับเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งเราได้ก้าวข้ามมา ทั้งระดับควอนตัม ระดับที่เล็กกว่าอะตอม ระดับอะตอม ระดับโมเลกุล และระดับเซลล์ โดยเชื่อมด้วยเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาลที่มองไม่เห็น โยงไปยังตำแหน่งที่เราพบตัวเราเองในตอนนี้ แต่ละระดับเป็นชั้นของการเปลี่ยนรูป (transformation) ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าหรือต่ำกว่า มีเพียง “ที่นี่” เท่านั้น...ที่ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากข้อมูลข่าวสาร มโนคติ และศักยภาพในการรังสรรค์ที่บริสุทธิ์ เป็นระดับทั้งหมดที่ลดลงสู่ต้นกำเนิดร่วมกันของสิ่งเหล่านี้
ขอให้เรามาทบทวน การฝึก “แยกธาตุด้วยตาใน” ดังข้างต้นนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อซึบซับบทเรียนที่มีอยู่ในนั้น
(1) ร่างกายที่เป็นสามมิติที่รายงานโดยประสาทรับความรู้สึกทั้งห้าเป็นภาพลวงตา
(2) ทุกอนุภาคที่เป็นของแข็งของสสาร ประกอบด้วยพื้นที่ว่างเปล่ามากกว่า 99.999%
(3) ช่องว่างระหว่างสองอิเล็กตรอน มีสัดส่วนความว่างเปล่าเท่ากับอวกาศระหว่างสองกาแล็กซี
(4) ถ้าเราเข้าไปลึกพอในเนื้อของสสารและพลังงาน เราะจะไปถึงต้นกำเนิดของจักรวาล เหตุการณ์ทั้งหมดในกาล-อวกาศมีแหล่งกำเนิดร่วมกันอยู่นอกความเป็นจริงที่เรารับรู้
(5) ถัดออกไปจากควอนตัม ร่างกายเราดำรงอยู่ในแบบของศักยภาพที่รังสรรค์อย่างบริสุทธิ์ เป็นกระบวนการหลายชั้นที่ควบคุมโดยเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาล
ข้างต้นคือการฝึกเพื่อให้เราได้สัมผัสถึงระดับของ “อวกาศแห่งควอนตัม” ต่อไป เราต้องฝึกให้ตระหนักถึงความเชื่อมโยงทางอินทรีย์ระหว่างทุกสิ่งทุกอย่างในการดำรงอยู่ หรือการฝึกมองโลกและชีวิตเป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาด้วยภาษาแบบควอนตัม
จริงๆ แล้ว เราทุกคนล้วนดำรงอยู่ใน “อวกาศของควอนตัม” ซึ่งเต็มเปี่ยมเพราะที่นั่นเป็นการต่อเนื่องของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล เมื่อสนามควอนตัมคึกคัก ก็จะให้กำเนิดเหตุการณ์ในกาล-อวกาศ แต่เมื่อสนามควอนตัมเงียบสงบ ก็จะเป็นเพียงอวกาศของควอนตัม
ขอให้เราลองจินตนาการถึงโลกที่ล้อมรอบด้วยเส้นแรงแม่เหล็ก ซึ่งแผ่รัศมีออกจากขั้วเหนือและขั้วใต้ของแม่เหล็ก แม่เหล็กทุกชิ้นบนพิภพมีส่วนร่วมในสนามนี้ แต่ละชิ้นเป็นอำนาจแม่เหล็กขนาดเล็กแยกจากกันที่ปรากฏออกมา...ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายเราก็แผ่กระจายความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ตัวเราจึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของสนามเดียวกันนี้ และตัวเราไม่เคยและไม่ได้แยกตัวออกจากรูปแบบใดๆ ของพลังงานในจักรวาลเลย การปรากฏตัวขึ้นของการแยกตัวใดๆ เป็นเพียงข้อจำกัดของความรู้สึกของผู้นั้นเท่านั้น ซึ่งไม่สอดรับกับพลังงานเหล่านี้
ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏต่อประสาทรับความรู้สึกจะแยกออกจากกันอย่างไร แต่ในระดับควอนตัม ไม่มีการแยกออกจากกันเลย เพราะสนามควอนตัมดำรงอยู่ภายใน รอบๆ และผ่านตัวเรา เราจึงไม่ได้มองดูสนาม เพราะสนามคือส่วนขยายของร่างกายเราในทุกคลื่นทุกอนุภาค ทุกๆ เซลล์ของเราเป็นการรวมกันเฉพาะที่ของข้อมูลข่าวสารกับพลังงานภายในส่วนทั้งหมดของข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งพลังงานของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของเราก็เป็นการรวมกันเฉพาะที่ของข้อมูลข่าวสารกับพลังงานในส่วนทั้งหมดที่เป็น “ร่างกาย” ของจักรวาลด้วยเช่นกัน
* * *
...เธอรู้มั้ย หากเธอจุดเทียนขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วถือเทียนเล่มนั้นออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน และชูขึ้นโดยให้ดวงดาวเป็นฉากหลัง โดยที่ยังมีเทียนอีกเล่มหนึ่งที่เธอจุดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ แล้วยังคงตั้งอยู่ภายในห้องของเธอ
จุดเท่าปลายเข็มของแสงดาวบนท้องฟ้า อาจอยู่ไกลออกไปหลายพันปีแสง แต่ในระดับของควอนตัม ดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าจะมีความเชื่อมโยงกับเทียนในมือเธอเท่ากับเทียนเล่มที่สองในห้อง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ช่องว่างอันกว้างใหญ่ไพศาลระหว่างเทียนกับดวงดาว ประกอบด้วยคลื่นของพลังงานที่เชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน
...เธอรู้มั้ย นี่คือ “ความลับของฟ้า” หากเธอกุมความลับของฟ้านี้ได้ ก็จะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะทำให้เธอรู้สึกถูกคุกคามหรือหวั่นหวาดอีกต่อไป ความกลัวตาย ความกลัวการแยกตัวจะคลายออกจากการยึดกุมเหนือตัวเธอ และมันจะช่วยต่อต้านเอนโทรปี และความแก่พร้อมกันไปด้วย
www.dragon-press.com
การเปลี่ยนการแปลความหมายของร่างกายเราใหม่คือ การเริ่มต้นที่ดีที่สุดของ “การชะลอวัย” ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนเราแต่ละคน แปลความหมายของประสบการณ์ ซึ่งรวมทั้งประสบการณ์ของการมีอยู่ของร่างกายเราตามความเชื่อค่านิยม สมมติฐาน และความทรงจำส่วนตัวของตน
โลกทัศน์ของควอนตัมสอนเราว่า เรากำลังสร้างและไม่สร้างร่างกายเราอยู่ตลอดเวลา เบื้องหลังภาพลวงตาของการที่เห็นร่างกายเราเป็นวัตถุแข็ง และถาวรนั้น แท้ที่จริง ร่างกายเป็นกระบวนการอย่างหนึ่ง และตราบใดที่กระบวนการนั้นถูกนำไปสู่การเริ่มต้นใหม่ เซลล์ของร่างกายเราก็จะยังคงใหม่อยู่ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
ดีปัก โชปรา ผู้เขียนหนังสือ “ร่างกายที่เหนืออายุขัย จิตใจที่ไร้กาลเวลา” (พ.ศ. 2551, สำนักพิมพ์มติชน) บอกว่า เพื่อให้เรามีร่างกายที่เริ่มต้นใหม่ เราจึงต้องตั้งใจฝึกฝนปฏิบัติเพื่อมีความรับรู้ใหม่ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นแก่ผลลัพธ์ใหม่ โดยที่ เราต้องฝึกฝนเพื่อดูดซับความรู้ใหม่ของโลกทัศน์ควอนตัม ตามที่ปรับใช้กับร่างกายเรา แล้วหลอมรวมเข้ากับการฝึกเกี่ยวกับประสบการณ์ใหม่ซึ่งได้จากความรู้สึกภายใน ซึ่งเป็นระดับที่เหนือกว่าความรู้สึกจากประสาทสัมผัสทั้งห้า จนกระทั่งความรู้ใหม่กับประสบการณ์ใหม่นี้หลอมรวมกันเป็นเนื้อเดียว ซึ่งหมายความว่า เราได้ซึมซับโลกทัศน์ใหม่แทนที่โลกทัศน์เก่าอย่างเต็มที่แล้ว
การฝึกฝนนี้เริ่มจากการฝึกใช้ “ตาใน” ของเรา “แยกธาตุ” ในร่างกายของเรา...ขอให้ลองจินตนาการว่า เรากำลังตรวจมือของเราผ่านกล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูง ซึ่งมีเลนส์ที่สามารถทะลุผ่านองค์ประกอบที่เยี่ยมที่สุดของสสารและพลังงาน ในกำลังขยายที่ต่ำที่สุด เราจะไม่เห็นเนื้อที่เรียบลื่นบนมือของเราอีกต่อไป แต่จะเห็นเป็นกลุ่มของเซลล์แต่ละเซลล์ที่รวมกันอย่างหลวมๆ ด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (connective tissue) แต่ละเซลล์เป็นถุงชุ่มน้ำของโปรตีน ซึ่งดูเหมือนสายโซ่ยาวของโมเลกุลที่เล็กกว่า ยึดกันด้วยพันธะ (bonds) ที่มองไม่เห็น
เมื่อขยายใหญ่ขึ้นแล้วมองเข้าไปอีก เราจะเห็นอะตอมของไฮโดรเจนคาร์บอน ออกซิเจน และอื่นๆ ที่แยกกัน ไม่มีความเป็นของแข็งเลย เป็นแค่เงาลึกลับที่สั่นไหว ปรากฏผ่านกล้องจุทรรศน์เห็นเป็นแถบของแสงและความมืดเท่านั้น เมื่อขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ เราจะมาถึงเส้นแบ่งระหว่างสสารกับพลังงาน เราจะเห็นอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอมที่ประกอบขึ้นเป็นอะตอมมีอิเล็กตรอนหมุนรอบแกนของนิวเคลียส ที่ประกอบด้วยโปรตอนกับนิวตรอน ไม่ใช่เป็นรอยแต้มและจุดของสสาร แต่ดูคล้ายร่องรอยของแสงที่เป็นประกายคลื่นในความมืด
เมื่อถึงระดับนี้ เราจะพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเราเคยเข้าใจว่าเป็นของแข็งนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเส้นทางของพลังงานเท่านั้น ทันทีที่เราเห็นเส้นทางสายหนึ่ง พลังงานก็เคลื่อนย้ายไปที่อื่นแล้ว ไม่เหลืออะไรที่เป็นแก่นสารให้สัมผัสหรือมองเห็นได้ เส้นทางแต่ละเส้นเป็นเหตุการณ์ของควอนตัมซึ่งหายวับ และสลายไปในทันทีที่เห็นมัน
ตอนนี้ เราเริ่มจมลึกลงไปสู่ “อวกาศแห่งควอนตัม” แสงทั้งหมดหายไป แทนที่ด้วยหุบเหวที่เปิดกว้างของ “ความว่างเปล่า” ที่มืดดำ และเรากำลังอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่เพียงสสารกับพลังงานเท่านั้นที่หายไป แต่ยังรวมถึงเวลา และอวกาศด้วย
เราทิ้ง “มือ” ของเราไว้เป็นเหตุการณ์ในกาล-อวกาศเหมือนกับเหตุการณ์อื่นในกาล-อวกาศทั้งหลายก่อน แล้วลองหันกลับมาถามถึงการดำรงอยู่ของ “ร่างกาย” เราว่ามีที่มาจากที่ไหนกันแน่
ร่างกายนี้ของเรา จะต้องมีต้นกำเนิดถัดไปจากมิติที่สี่อย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “ก่อน” หรือ “หลัง” ในปริมณฑลนี้ และไม่มีนิยามของคำว่า “ใหญ่” หรือ “เล็ก”...ที่นี่ มือและร่างกายเราดำรงอยู่ก่อนบิ๊กแบง และภายหลังจุดจบของจักรวาล...เพราะที่นี่คือ “อู่” ของจักรวาล อันเป็นปริมณฑลก่อนควอนตัม ซึ่งไม่มีมิติและเป็นมิติทั้งหมด เราจึงอยู่ทุกที่และไม่อยู่ที่ไหนเลย
...ที่นี่ มือ และร่างกายของเรา มิได้ยุติการดำรงอยู่ เพราะในการข้ามเส้นแบ่งของมิติที่สี่นั้น เราไม่ได้ไปที่ไหนเลย ความเข้าใจทั้งหลายของตำแหน่ง และเวลาใช้ไม่ได้อีกต่อไป ระดับที่หยาบที่สุดของการรับรู้ของเรายังคงใช้ได้ มือเรายังคงอยู่ที่ระดับเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งเราได้ก้าวข้ามมา ทั้งระดับควอนตัม ระดับที่เล็กกว่าอะตอม ระดับอะตอม ระดับโมเลกุล และระดับเซลล์ โดยเชื่อมด้วยเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาลที่มองไม่เห็น โยงไปยังตำแหน่งที่เราพบตัวเราเองในตอนนี้ แต่ละระดับเป็นชั้นของการเปลี่ยนรูป (transformation) ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่อยู่เหนือกว่าหรือต่ำกว่า มีเพียง “ที่นี่” เท่านั้น...ที่ซึ่งไม่มีอะไรเลยนอกจากข้อมูลข่าวสาร มโนคติ และศักยภาพในการรังสรรค์ที่บริสุทธิ์ เป็นระดับทั้งหมดที่ลดลงสู่ต้นกำเนิดร่วมกันของสิ่งเหล่านี้
ขอให้เรามาทบทวน การฝึก “แยกธาตุด้วยตาใน” ดังข้างต้นนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อซึบซับบทเรียนที่มีอยู่ในนั้น
(1) ร่างกายที่เป็นสามมิติที่รายงานโดยประสาทรับความรู้สึกทั้งห้าเป็นภาพลวงตา
(2) ทุกอนุภาคที่เป็นของแข็งของสสาร ประกอบด้วยพื้นที่ว่างเปล่ามากกว่า 99.999%
(3) ช่องว่างระหว่างสองอิเล็กตรอน มีสัดส่วนความว่างเปล่าเท่ากับอวกาศระหว่างสองกาแล็กซี
(4) ถ้าเราเข้าไปลึกพอในเนื้อของสสารและพลังงาน เราะจะไปถึงต้นกำเนิดของจักรวาล เหตุการณ์ทั้งหมดในกาล-อวกาศมีแหล่งกำเนิดร่วมกันอยู่นอกความเป็นจริงที่เรารับรู้
(5) ถัดออกไปจากควอนตัม ร่างกายเราดำรงอยู่ในแบบของศักยภาพที่รังสรรค์อย่างบริสุทธิ์ เป็นกระบวนการหลายชั้นที่ควบคุมโดยเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาล
ข้างต้นคือการฝึกเพื่อให้เราได้สัมผัสถึงระดับของ “อวกาศแห่งควอนตัม” ต่อไป เราต้องฝึกให้ตระหนักถึงความเชื่อมโยงทางอินทรีย์ระหว่างทุกสิ่งทุกอย่างในการดำรงอยู่ หรือการฝึกมองโลกและชีวิตเป็นกระแสแห่งอิทัปปัจจยตาด้วยภาษาแบบควอนตัม
จริงๆ แล้ว เราทุกคนล้วนดำรงอยู่ใน “อวกาศของควอนตัม” ซึ่งเต็มเปี่ยมเพราะที่นั่นเป็นการต่อเนื่องของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล เมื่อสนามควอนตัมคึกคัก ก็จะให้กำเนิดเหตุการณ์ในกาล-อวกาศ แต่เมื่อสนามควอนตัมเงียบสงบ ก็จะเป็นเพียงอวกาศของควอนตัม
ขอให้เราลองจินตนาการถึงโลกที่ล้อมรอบด้วยเส้นแรงแม่เหล็ก ซึ่งแผ่รัศมีออกจากขั้วเหนือและขั้วใต้ของแม่เหล็ก แม่เหล็กทุกชิ้นบนพิภพมีส่วนร่วมในสนามนี้ แต่ละชิ้นเป็นอำนาจแม่เหล็กขนาดเล็กแยกจากกันที่ปรากฏออกมา...ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายเราก็แผ่กระจายความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา ตัวเราจึงเป็นการแสดงออกอย่างหนึ่งของสนามเดียวกันนี้ และตัวเราไม่เคยและไม่ได้แยกตัวออกจากรูปแบบใดๆ ของพลังงานในจักรวาลเลย การปรากฏตัวขึ้นของการแยกตัวใดๆ เป็นเพียงข้อจำกัดของความรู้สึกของผู้นั้นเท่านั้น ซึ่งไม่สอดรับกับพลังงานเหล่านี้
ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ว่าสิ่งที่ปรากฏต่อประสาทรับความรู้สึกจะแยกออกจากกันอย่างไร แต่ในระดับควอนตัม ไม่มีการแยกออกจากกันเลย เพราะสนามควอนตัมดำรงอยู่ภายใน รอบๆ และผ่านตัวเรา เราจึงไม่ได้มองดูสนาม เพราะสนามคือส่วนขยายของร่างกายเราในทุกคลื่นทุกอนุภาค ทุกๆ เซลล์ของเราเป็นการรวมกันเฉพาะที่ของข้อมูลข่าวสารกับพลังงานภายในส่วนทั้งหมดของข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งพลังงานของร่างกาย ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของเราก็เป็นการรวมกันเฉพาะที่ของข้อมูลข่าวสารกับพลังงานในส่วนทั้งหมดที่เป็น “ร่างกาย” ของจักรวาลด้วยเช่นกัน
* * *
...เธอรู้มั้ย หากเธอจุดเทียนขึ้นมาเล่มหนึ่ง แล้วถือเทียนเล่มนั้นออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน และชูขึ้นโดยให้ดวงดาวเป็นฉากหลัง โดยที่ยังมีเทียนอีกเล่มหนึ่งที่เธอจุดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ แล้วยังคงตั้งอยู่ภายในห้องของเธอ
จุดเท่าปลายเข็มของแสงดาวบนท้องฟ้า อาจอยู่ไกลออกไปหลายพันปีแสง แต่ในระดับของควอนตัม ดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าจะมีความเชื่อมโยงกับเทียนในมือเธอเท่ากับเทียนเล่มที่สองในห้อง ทั้งนี้ก็เพราะว่า ช่องว่างอันกว้างใหญ่ไพศาลระหว่างเทียนกับดวงดาว ประกอบด้วยคลื่นของพลังงานที่เชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน
...เธอรู้มั้ย นี่คือ “ความลับของฟ้า” หากเธอกุมความลับของฟ้านี้ได้ ก็จะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่จะทำให้เธอรู้สึกถูกคุกคามหรือหวั่นหวาดอีกต่อไป ความกลัวตาย ความกลัวการแยกตัวจะคลายออกจากการยึดกุมเหนือตัวเธอ และมันจะช่วยต่อต้านเอนโทรปี และความแก่พร้อมกันไปด้วย
www.dragon-press.com