ก่อนอื่นผู้เขียนขอคารวะศพของอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล ด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง และขอให้บุญกุศลที่ผู้เขียนได้คิด ได้ทำ ได้ปฏิบัติทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม ได้ส่งดวงวิญญาณของอากงหรือนายอำพล ตั้งนพกุลไปสู่สุขติภพด้วยเทอญ และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงได้โปรดดลบันดาลให้นายอำพลหรืออากงได้รับรู้ในความบริสุทธิ์ใจของผู้เขียนที่ต้องกล่าวถึงอากง และขออโหสิกรรมหากได้ล่วงเกินท่านในลักษรณะหนึ่งลักษณะใดก็ตาม
เหตุเกิดขึ้นประมาณปีที่แล้ว ห้วงวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2553 เมื่อมีโทรศัพท์ลึกลับถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจำนวน 4 ครั้ง และถึงรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ หลายคน หลายครั้ง รวมถึงไปถึงนายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์แกนนำคนหลากสี ก็ได้รับโทรศัพท์ลึกลับนั้นด้วย
ซึ่งข้อความที่โทรศัพท์ลึกลับนั้นพูด ก็เป็นเรื่องจาบจ้วงหมิ่นสถาบันอย่างรุนแรง และไม่เป็นความจริง และในวันที่ 8 มิถุนายน 2533 นายอภิสิทธิ์ จึงให้นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัว เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ณ กองบัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อสืบหาต้นตอผู้ก่อเหตุจาบจ้วงสถาบันสูงสุด อันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งชาติ
ผลการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า โทรศัพท์ลึกลับนั้นมาจากอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี อาชีพไม่เป็นหลักแหล่ง แต่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 เครื่อง ซึ่งมีการใช้อย่างต่อเนื่อง และซิมการ์ดบ่งบอกถึงการใช้งาน และมีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง ตำรวจจึงกระทำการจับกุม แจ้งข้อหากระทำความผิดกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะข้อความที่กล่าวทางโทรศัพท์ ก็มีลักษณะเข้าข่ายแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความเหล่านั้นล้วนไม่มีมูลความจริง
ศาลอาญาจึงพิพากษาลงโทษจำคุกอากง 4 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมต้องจำคุก 20 ปี
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านอากงนั้น คนเสื้อแดงจำนวนกว่า 20 คน เข้าทำการขัดขวาง แสดงท่าทีแย่งชิงตัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบนำนายอำพลมากักตัวไว้ที่กองปราบปรามเพื่อสอบสวน
แกนนำคนเสื้อแดงและแนวร่วมหลายพวกพยายามที่จะแจ้งกับสาธารณชนว่า องกงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงเลย และความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดนั้นเป็นของอากงเอง ไม่มีใครไปเสี้ยมสอน หรือสั่งการ หรือบังคับ หรือว่าจ้างให้กระทำ
แต่ข้อเท็จจริงตามฐานแหล่งข่าวของทางราชการพบว่า อากงเป็นสมาชิกคนเสื้อแดงระดับเข้มข้นคนหนึ่งของละแวกปากน้ำ สมุทรปราการ
ด้วยหลักฐานมัดตัวอย่างชัดเจน ดิ้นไม่หลุด เพราะว่าโทรศัพท์ก็อยู่ในครอบครองตลอดระยะเวลาที่มีการโทร.ลึกลับไปถึงนายอภิสิทธิ์ และคนอื่นๆ และเมื่อตรวจสอบซิมการ์ด ก็พบหลักฐานข้อความและเบอร์โทรศัพท์ที่โทร.เข้าไปหา จึงต้องติดคุกตามความผิด
แต่ด้วยความเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนายอำพล มาเสียชีวิตขณะถูกจองจำอยู่ในคุก เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 หรือ 2 ปีให้หลังจากการเริ่มยุทธการพิฆาตเจ้าของกลุ่มอนาธิปไตยนิยมในคนเสื้อแดง และการเสียชีวิตของอากง จึงเป็นเสมือนเครื่องบูชายัญลัทธิคนเสื้อแดงล้มเจ้า
ก่อนเข้าคุกนั้น อากงหรือนายอำพล มีโรคร้ายเกาะกินอยู่หลายโรค ซึ่งสภากาชาดไทยได้ส่งคณะแพทย์ไปทำการรักษามะเร็งที่ปากของอากง จนไม่ลุกลามมีอาการเป็นปกติแล้ว แต่มะเร็งที่อื่นนั้นยากที่จะรักษา ทั้งๆ ที่คณะแพทย์แห่งสภากาชาดไทยพยายามที่จะให้การรักษา แต่กลไกทางราชการไม่เอื้ออำนวยตามสถานการณ์เจ็บปวดของอากง และมีเรื่องที่ทราบกันในหมู่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงว่าอากงได้เขียนจดหมายสารภาพอะไรบางอย่างแต่ไม่มีใครเห็นจดหมายฉบับนั้น
นอกจากนี้ หลายแหล่งพยายามที่จะดำเนินการให้มีการพระราชทานอภัยโทษกับอากงเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วน แต่เรื่องก็ถูกทำให้เรื่องล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนงานของฝ่ายหวังดีที่จัดการให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นในกรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทยเองอย่างผิดสังเกต
เรื่องนี้มีสื่อหลายสำนักได้แสดงความจริงไปแล้วว่าในกรมราชทัณฑ์นั้นเต็มไปด้วยสาวกคนเสื้อแดงของทักษิณ เช่น พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ถูกส่งไปให้ดูแลคนเสื้อแดงติดคุก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพหุยุทธศาสตร์หนึ่งของทักษิณ และขบวนการอนาธิปไตยนิยมล้มเจ้านั้น ต้องการให้อากงตาย เพื่อที่จะได้ขยายผลนี้นำออกสู่ประชาคมโลกว่า อากง นักโทษคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไทยตายในคุกเพื่อขยายแนวรุก แนวรบ ในสงครามการเมืองที่เกิดจากแผนพหุยุทธศาสตร์ล้มระบอบการปกครองที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐธรรมนูญไทย ฉบับ พ.ศ.2550 ด้วยความมุ่งหมายหลักคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรคเพื่อไทย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเพื่อไทยคุมเสียงข้างมาก และตามที่ทักษิณบงการด้วยทุนมหาศาล
การใช้คนตายเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยานั้น เกิดมาตั้งแต่โบราณของมนุษยชาติแล้ว เช่น ลัทธิซานซ่า อันเป็นพิธีกรรมของคนป่าเผาชัวในแถบป่าอเมซอน จะเอาหัวมนุษย์ด้วยกันมาย่อให้เล็กลงเท่ากับลูกเทนนิส เพื่อข่มขวัญและแสดงอำนาจเหนือมนุษย์พวกอื่นๆ หรือพวกเมลันนีเซียนแถบหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ที่กินเนื้อมนุษย์อันเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมว่าจะมีความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์อื่น
สปาตากัส เป็นหัวทาสชาวสปาตาของอาณาจักรโรมันในยุค 100 ปีก่อนคริสตกาล ทำสงครามปลดแอกกับอาณาจักรโรมอยู่หลายสิบปี แต่พ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายที่สมรภูมิเซอร์วิลครั้งที่ 3 และกองทัพโรมันเมื่อชนะแล้วก็นำทาสชาวสปาตานับเป็นพันๆ คน ตรึงไม้กางเขนตั้งแต่สมรภูมิจนเข้าสู่กรุงโรม เพื่อเป็นการเตือนพวกทาสทั้งหลายไม่ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจอาณาจักรโรมัน
การปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ.1917 นั้น มีการนำศพของราษฎรที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 มาวางประจานในที่สาธารณะ เพื่อมวลชนเกิดอารมณ์เกลียดชังพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 และราชวงศ์ ซึ่งนำสู่การปลงพระชนม์พระองค์และราชวงศ์ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 โดยกลุ่มอนาธิปไตยต่างชาติหรือซีกซ้ายสุดในพรรคบอลเชวิคที่มีคนต่างชาติ เช่น แลตเวียนเป็นสมาชิกรับจ้างมาทำการรบต่อต้านพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2
การปฏิวัติคิวบา เมื่อคาสโตรและเชกูวาร่า นำกำลังคิวบารักชาติและต่างชาติจากละตินอเมริกาปลดแอกอำนาจเผด็จการสามานย์ของประธานาธิบดี ฟัลเจนซิโอ บาติต้า จอมโหด แต่เป็นสมุนมาเฟียและนักการเมืองอเมริกัน จะนำศพนักรบกองโจรและประชาชนที่เสียชีวิตออกมาประจานและประกาศว่าเป็นการกระทำอันหฤโหดของทหาร ตำรวจคิวบา ภายใต้การบงการของประธานาธิบดีบาติต้า ประชาชนเกิดอารมณ์เคียดแค้นอย่างรุนแรงและกระพือการลุกฮือขึ้นอย่างไร้ความกลัว
การใช้ศพคนตายเป็นเครื่องมือทางการเมืองมีหลากหลายวิธีการและวัตถุประสงค์นั้น แต่จะสร้างความรุนแรงในอารมณ์ของมนุษย์อย่างสูง ทั้งนี้เพราะโดยปกติพฤติกรรมมนุษย์ทั่วไปมีสัญชาตญาณเมตตาสงสาร ซึ่งเมื่อเกิดอารมณ์ลักษณะนี้สูงสุดแล้ว จะเป็นอารมณ์แค้นขึ้นแทนที่อารมณ์เมตตากรุณา
อากงกำลังจะเป็นเครื่องมือสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งที่อยู่ในประเทศและนอกประเทศ เนื่องจากว่าแผนงานนี้เป็นแผนระดับสูง ที่ต้องการกระเพื่อมนักการเมืองสหรัฐฯ ในรัฐสภา ให้กดดันประเทศไทย กดดันกลุ่มราชภักดี และส่งเสริมพลังให้กับทักษิณ เพื่อพหุประโยชน์ของสหรัฐฯ เองโดยเฉพาะเรื่องพลังอำนาจทางทหาร เช่นการใช้พื้นที่ในอ่าวไทยเป็นฐานทัพเรือลอยน้ำ แหล่งพลังงาน อิทธิพลไทยในอาเซียนและลดความใกล้ชิดกับจีนหากทักษิณได้กลับมาครองอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่
จึงขอให้คนไทยทั้งหลาย จงได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาว่า ทำไมกรมราชทัณฑ์จึงไม่ดำเนินการเพื่อให้อากงได้รับการรักษา และสามารถดำเนินการขอให้มีการรักษาตัวของอากง ทั้งๆ ที่อยู่ในอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรืออากงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนล้มเจ้าและการสถาปนาระบอบการเมืองใหม่
ถ้าอากงได้เข้าใจในเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นกฎหมายเฉพาะอย่างดีแล้ว อากงคงไม่ถลำตัวกระทำการเช่นนั้นเพราะถ้าไม่ทำผิดกฎหมายฉบับนี้ กฎหมายนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับอากงเลย และอากงคงไม่ติดคุกและยังคงไม่ตายและกลับได้ใช้ชีวิตดูลูกหลานต่อไปอีกหลายปี
สำหรับเหตุการณ์นี้ทุกคนก็มีคำถามเดียวว่า “ในหลวงไปทำอะไรให้อากงต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ถึงได้ว่ากล่าวพระองค์ท่านเช่นนั้น”
ใครที่ยุยงส่งเสริมให้อากงได้กระทำการเช่นนั้นหรือจ้างวานให้อากงได้กระทำการเช่นนั้นก็คงจะได้ผลกรรมอย่างแน่นอน
เหตุเกิดขึ้นประมาณปีที่แล้ว ห้วงวันที่ 9-12 พฤษภาคม 2553 เมื่อมีโทรศัพท์ลึกลับถึงนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นจำนวน 4 ครั้ง และถึงรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ หลายคน หลายครั้ง รวมถึงไปถึงนายแพทย์ ตุลย์ สิทธิสมวงศ์แกนนำคนหลากสี ก็ได้รับโทรศัพท์ลึกลับนั้นด้วย
ซึ่งข้อความที่โทรศัพท์ลึกลับนั้นพูด ก็เป็นเรื่องจาบจ้วงหมิ่นสถาบันอย่างรุนแรง และไม่เป็นความจริง และในวันที่ 8 มิถุนายน 2533 นายอภิสิทธิ์ จึงให้นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัว เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน ณ กองบัญชาการสอบสวนกลาง เพื่อสืบหาต้นตอผู้ก่อเหตุจาบจ้วงสถาบันสูงสุด อันเป็นที่เคารพสักการะของคนไทยทั้งชาติ
ผลการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า โทรศัพท์ลึกลับนั้นมาจากอากง หรือนายอำพล ตั้งนพกุล อายุ 61 ปี อาชีพไม่เป็นหลักแหล่ง แต่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่ 3 เครื่อง ซึ่งมีการใช้อย่างต่อเนื่อง และซิมการ์ดบ่งบอกถึงการใช้งาน และมีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง ตำรวจจึงกระทำการจับกุม แจ้งข้อหากระทำความผิดกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพราะข้อความที่กล่าวทางโทรศัพท์ ก็มีลักษณะเข้าข่ายแสดงความอาฆาตมาดร้าย ใส่ความ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทั้งที่ข้อความเหล่านั้นล้วนไม่มีมูลความจริง
ศาลอาญาจึงพิพากษาลงโทษจำคุกอากง 4 กระทงๆ ละ 5 ปี รวมต้องจำคุก 20 ปี
ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านอากงนั้น คนเสื้อแดงจำนวนกว่า 20 คน เข้าทำการขัดขวาง แสดงท่าทีแย่งชิงตัวผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบนำนายอำพลมากักตัวไว้ที่กองปราบปรามเพื่อสอบสวน
แกนนำคนเสื้อแดงและแนวร่วมหลายพวกพยายามที่จะแจ้งกับสาธารณชนว่า องกงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงเลย และความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดนั้นเป็นของอากงเอง ไม่มีใครไปเสี้ยมสอน หรือสั่งการ หรือบังคับ หรือว่าจ้างให้กระทำ
แต่ข้อเท็จจริงตามฐานแหล่งข่าวของทางราชการพบว่า อากงเป็นสมาชิกคนเสื้อแดงระดับเข้มข้นคนหนึ่งของละแวกปากน้ำ สมุทรปราการ
ด้วยหลักฐานมัดตัวอย่างชัดเจน ดิ้นไม่หลุด เพราะว่าโทรศัพท์ก็อยู่ในครอบครองตลอดระยะเวลาที่มีการโทร.ลึกลับไปถึงนายอภิสิทธิ์ และคนอื่นๆ และเมื่อตรวจสอบซิมการ์ด ก็พบหลักฐานข้อความและเบอร์โทรศัพท์ที่โทร.เข้าไปหา จึงต้องติดคุกตามความผิด
แต่ด้วยความเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนายอำพล มาเสียชีวิตขณะถูกจองจำอยู่ในคุก เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2555 หรือ 2 ปีให้หลังจากการเริ่มยุทธการพิฆาตเจ้าของกลุ่มอนาธิปไตยนิยมในคนเสื้อแดง และการเสียชีวิตของอากง จึงเป็นเสมือนเครื่องบูชายัญลัทธิคนเสื้อแดงล้มเจ้า
ก่อนเข้าคุกนั้น อากงหรือนายอำพล มีโรคร้ายเกาะกินอยู่หลายโรค ซึ่งสภากาชาดไทยได้ส่งคณะแพทย์ไปทำการรักษามะเร็งที่ปากของอากง จนไม่ลุกลามมีอาการเป็นปกติแล้ว แต่มะเร็งที่อื่นนั้นยากที่จะรักษา ทั้งๆ ที่คณะแพทย์แห่งสภากาชาดไทยพยายามที่จะให้การรักษา แต่กลไกทางราชการไม่เอื้ออำนวยตามสถานการณ์เจ็บปวดของอากง และมีเรื่องที่ทราบกันในหมู่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงว่าอากงได้เขียนจดหมายสารภาพอะไรบางอย่างแต่ไม่มีใครเห็นจดหมายฉบับนั้น
นอกจากนี้ หลายแหล่งพยายามที่จะดำเนินการให้มีการพระราชทานอภัยโทษกับอากงเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วน แต่เรื่องก็ถูกทำให้เรื่องล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนงานของฝ่ายหวังดีที่จัดการให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นในกรมราชทัณฑ์ กระทรวงมหาดไทยเองอย่างผิดสังเกต
เรื่องนี้มีสื่อหลายสำนักได้แสดงความจริงไปแล้วว่าในกรมราชทัณฑ์นั้นเต็มไปด้วยสาวกคนเสื้อแดงของทักษิณ เช่น พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์ที่ถูกส่งไปให้ดูแลคนเสื้อแดงติดคุก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพหุยุทธศาสตร์หนึ่งของทักษิณ และขบวนการอนาธิปไตยนิยมล้มเจ้านั้น ต้องการให้อากงตาย เพื่อที่จะได้ขยายผลนี้นำออกสู่ประชาคมโลกว่า อากง นักโทษคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไทยตายในคุกเพื่อขยายแนวรุก แนวรบ ในสงครามการเมืองที่เกิดจากแผนพหุยุทธศาสตร์ล้มระบอบการปกครองที่ใช้บังคับอยู่ในรัฐธรรมนูญไทย ฉบับ พ.ศ.2550 ด้วยความมุ่งหมายหลักคือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรคเพื่อไทย รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สภาผู้แทนราษฎรที่พรรคเพื่อไทยคุมเสียงข้างมาก และตามที่ทักษิณบงการด้วยทุนมหาศาล
การใช้คนตายเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยานั้น เกิดมาตั้งแต่โบราณของมนุษยชาติแล้ว เช่น ลัทธิซานซ่า อันเป็นพิธีกรรมของคนป่าเผาชัวในแถบป่าอเมซอน จะเอาหัวมนุษย์ด้วยกันมาย่อให้เล็กลงเท่ากับลูกเทนนิส เพื่อข่มขวัญและแสดงอำนาจเหนือมนุษย์พวกอื่นๆ หรือพวกเมลันนีเซียนแถบหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ที่กินเนื้อมนุษย์อันเป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมว่าจะมีความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์อื่น
สปาตากัส เป็นหัวทาสชาวสปาตาของอาณาจักรโรมันในยุค 100 ปีก่อนคริสตกาล ทำสงครามปลดแอกกับอาณาจักรโรมอยู่หลายสิบปี แต่พ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายที่สมรภูมิเซอร์วิลครั้งที่ 3 และกองทัพโรมันเมื่อชนะแล้วก็นำทาสชาวสปาตานับเป็นพันๆ คน ตรึงไม้กางเขนตั้งแต่สมรภูมิจนเข้าสู่กรุงโรม เพื่อเป็นการเตือนพวกทาสทั้งหลายไม่ให้ลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจอาณาจักรโรมัน
การปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ.1917 นั้น มีการนำศพของราษฎรที่ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลของพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 มาวางประจานในที่สาธารณะ เพื่อมวลชนเกิดอารมณ์เกลียดชังพระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 และราชวงศ์ ซึ่งนำสู่การปลงพระชนม์พระองค์และราชวงศ์ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 โดยกลุ่มอนาธิปไตยต่างชาติหรือซีกซ้ายสุดในพรรคบอลเชวิคที่มีคนต่างชาติ เช่น แลตเวียนเป็นสมาชิกรับจ้างมาทำการรบต่อต้านพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2
การปฏิวัติคิวบา เมื่อคาสโตรและเชกูวาร่า นำกำลังคิวบารักชาติและต่างชาติจากละตินอเมริกาปลดแอกอำนาจเผด็จการสามานย์ของประธานาธิบดี ฟัลเจนซิโอ บาติต้า จอมโหด แต่เป็นสมุนมาเฟียและนักการเมืองอเมริกัน จะนำศพนักรบกองโจรและประชาชนที่เสียชีวิตออกมาประจานและประกาศว่าเป็นการกระทำอันหฤโหดของทหาร ตำรวจคิวบา ภายใต้การบงการของประธานาธิบดีบาติต้า ประชาชนเกิดอารมณ์เคียดแค้นอย่างรุนแรงและกระพือการลุกฮือขึ้นอย่างไร้ความกลัว
การใช้ศพคนตายเป็นเครื่องมือทางการเมืองมีหลากหลายวิธีการและวัตถุประสงค์นั้น แต่จะสร้างความรุนแรงในอารมณ์ของมนุษย์อย่างสูง ทั้งนี้เพราะโดยปกติพฤติกรรมมนุษย์ทั่วไปมีสัญชาตญาณเมตตาสงสาร ซึ่งเมื่อเกิดอารมณ์ลักษณะนี้สูงสุดแล้ว จะเป็นอารมณ์แค้นขึ้นแทนที่อารมณ์เมตตากรุณา
อากงกำลังจะเป็นเครื่องมือสำคัญของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งที่อยู่ในประเทศและนอกประเทศ เนื่องจากว่าแผนงานนี้เป็นแผนระดับสูง ที่ต้องการกระเพื่อมนักการเมืองสหรัฐฯ ในรัฐสภา ให้กดดันประเทศไทย กดดันกลุ่มราชภักดี และส่งเสริมพลังให้กับทักษิณ เพื่อพหุประโยชน์ของสหรัฐฯ เองโดยเฉพาะเรื่องพลังอำนาจทางทหาร เช่นการใช้พื้นที่ในอ่าวไทยเป็นฐานทัพเรือลอยน้ำ แหล่งพลังงาน อิทธิพลไทยในอาเซียนและลดความใกล้ชิดกับจีนหากทักษิณได้กลับมาครองอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่
จึงขอให้คนไทยทั้งหลาย จงได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาว่า ทำไมกรมราชทัณฑ์จึงไม่ดำเนินการเพื่อให้อากงได้รับการรักษา และสามารถดำเนินการขอให้มีการรักษาตัวของอากง ทั้งๆ ที่อยู่ในอำนาจของอธิบดีกรมราชทัณฑ์ หรืออากงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนล้มเจ้าและการสถาปนาระบอบการเมืองใหม่
ถ้าอากงได้เข้าใจในเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อันเป็นกฎหมายเฉพาะอย่างดีแล้ว อากงคงไม่ถลำตัวกระทำการเช่นนั้นเพราะถ้าไม่ทำผิดกฎหมายฉบับนี้ กฎหมายนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับอากงเลย และอากงคงไม่ติดคุกและยังคงไม่ตายและกลับได้ใช้ชีวิตดูลูกหลานต่อไปอีกหลายปี
สำหรับเหตุการณ์นี้ทุกคนก็มีคำถามเดียวว่า “ในหลวงไปทำอะไรให้อากงต้องเจ็บช้ำน้ำใจ ถึงได้ว่ากล่าวพระองค์ท่านเช่นนั้น”
ใครที่ยุยงส่งเสริมให้อากงได้กระทำการเช่นนั้นหรือจ้างวานให้อากงได้กระทำการเช่นนั้นก็คงจะได้ผลกรรมอย่างแน่นอน