วานนี้ ( 3 พ.ค.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต. กล่าวชี้แจงกรณีการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงาน ตำแหน่งบริหารระดับสูงของสำนักงานกกต. ว่า กกต.มีมติเมื่อวันที่ 1 และวันที่ 3 พ.ค. ให้ นายสมชาติ เจศรีชัย รองเลขาธิการกกต. ด้านบริหารกลาง นายภูมิพิทักษ์ กองแก้ว รองเลขาธิการกกต. ด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ นายสมผุส กาญจโนมัย ผู้อำนวยการสำนักการประชุม ไปดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการด้านบริหารกลาง พ.ต.อ.วรกร ทิมาตฤกะ ผู้ตรวจการ ไปดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการด้านสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย นายสุเทพ พรหมวาศ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และเผยแพร่ ไปดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ด้านกิจการการมีส่วนร่วม นายกฤช เอื้อวงศ์ ผอ.สำนักพัฒนาบุคคลากร ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.สถาบันพัฒนาการเมือง และการเลือกตั้ง นายอิสระ เสียงเพราะดี ผอ.สำนักเลขานุการ กกต. ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจการ นายเดชา วงษ์มาก ผอ.สำนักการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการ นายนพรัตน ชูไสว ผอ.กต.จว.ชัยภูมิ ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักการคลัง โดยให้มีผลในวันที่ 8 พ.ค.นี้
นอกจากนี้ให้ นายสมศักดิ์ สุริยมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิ ไปดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการ ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ นายประจักษ์ อินทะกนก ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาการเลือกตั้ง ไปดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ และพ.ต.อ.พันธ์ระวี วีระพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาการเลือกตั้ง โดยให้มีผลในวันที่ 10 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ตำแหน่งต่างๆ นั้น นายสมชาติ เป็นรองเลขาธิการมา 2 ด้านกิจการ รวม 6 ปี ทั้งที่ตามนโยบายของกกต. ที่วางไว้หากดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีแล้วจะต้องมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งตำแหน่งผู้ตรวจการ เทียบเท่ากับรองเลขาฯ อยู่แล้ว โดยนายสมผุส ก็เคยเป็นนายอำเภอ และเป็นผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยมาก่อน มาอยู่กกต.ถึง 6 ปีแล้ว ทำงานด้านการประชุมมานาน รู้งานการบริหารเป็นอย่างดี จึงมีความเหมาะสม ขณะที่นายภูมิพิทักษ์ ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติงาน สำหรับนายสุเทพ นั้นเป็นพนักงานกกต. มาตั้งแต่ปี 43 ดำรงตำแหน่งระดับรองสำนักฯ แม้จะเคยออกไปอยู่สำนักงาน ป.ป.ช. แต่เมื่อกลับมาก็เข้ามาดำรงตำแหน่งในระดับเดิม อีกทั้งเป็นคนที่ดูในเรื่องการณรงค์ให้ความรู้กับเยาวชน เข้ามามีส่วนร่วมกับการเลือกตั้ง ส่วนนายกฤช ที่มีการระบุว่า ขึ้นชั้นระดับรองเลขาธิการกกต. ก็ไม่ใช่เพราะตำแหน่งผอ.สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง ไม่ได้เทียบเท่ากับรองเลขาฯ แต่เทียบเท่าสำนักฯ เพียงแต่สถาบันใหญ่ขึ้นเท่านั้น
ส่วนนายสมศักดิ์ ที่จะมาเป็นรองเลขาธิการกกต. ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง ทางกกต.ก็เห็นว่า เคยเป็นนายอำเภอ และเป็นรองเลขาธิการด้านกิจการพรรคการเมืองที่เป็นตำแหน่งบริหารมาก่อนอยู่แล้ว ก็จะสลับกับนายบุณยเกียรติ ที่จะไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งนายบุณยเกียรติ เป็นคนที่ทำงานดีมาก เหนื่อยกับงานบริหารงานเลือกตั้งมานาน กกต.ก็เห็นว่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมาก ถึงจะย้ายไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ขณะนี้กกต. จะต้องออกระเบียบเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.ร.รวมทั้งกำลังจะรับโอนงานการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และบัญชีผู้เสียสิทธิเลือกตั้ง มาจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ก็จะมีการมอบงานนี้ให้นายบุณยเกียรติ ดูแล
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ทั้งหมด จะยังคงรักษาการในตำแหน่งเดิม คือ ตำแหน่งผอ.สำนักไปก่อน จนกว่าการสอบเลื่อนชั้นผู้บริหารที่จะขึ้นระดับผอ.สำนักทั้ง 24 สำนักในเดือนมิ.ย.แล้วเสร็จ และมีคำสั่งแต่งตั้งในเดือนก.ค.
" การแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมด ยืนยันกกต.ไม่ได้กระทำโดยมีอคติกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เนื่องจากทางสำนักงานฯไม่ได้มีการปรับย้ายระดับรองเลขาฯมา 2 ปี และผมเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการกกต. ก็เห็นว่าควรจะมีการถ่ายเทผู้บริหารเพื่อสร้างนักบริหารมือ ซึ่งเชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงของกกต.ทุกท่าน สามารถทำงานได้ในทุกด้าน ไม่ว่าจะถูกย้ายไปทำงานในด้านใด"
เมื่อถามว่า การย้ายนายบุณยเกียรติ เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดในการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว.สรรหาใช่หรือไม่ เลขาธิการกกต. กล่าวว่า กรณีการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว.สรรหา ผลการสอบข้อเท็จจริงออกมาว่า มีข้อบกพร่อง โดยกกต.ได้มอบให้สำนักงานไปดำเนินการ ซึ่งตนกำลังจะมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่า ข้อบกพร่องดังกล่าวมันอยู่ตรงไหน อย่างไร ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการสอบสวน และอยากให้นายบุณยเกียรติมาทำงานในด้านวิชาการให้มากขึ้น โดยนายบุณยเกียรติ ยังเหลืออายุราชการอีกนาน เพราะเกิดในปี 2499
เมื่อถามต่อว่า ผลการสอบข้อเท็จจริงที่ระบุว่า มีข้อบกพร่อง เป็นการบกพร่องในชั้นการตรวจสอบ หรือบกพร่องไม่นำเสนอให้คณะกรรมการสรรหา ส.ว. และถ้าผลสอบจะโยงไปถึงนายสุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาธิการกกต. จะสามารถเอาผิดได้หรือไม่ นายภุชงค์ กล่าวว่า ต้องดูว่าจะโยงไปได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งความบกพร่องนั้นก็ต้องดูอีกที ว่าเป็นการบกพร่องในชั้นไหน ซึ่งสำนวนการสอบข้อเท็จจริงมีรายละเอียดมาก
อย่างไรก็ตาม คิดว่าการย้ายนายบุณยเกียรติ ไม่ผลกระทบกับการที่กกต.กำลังจะต้องจัดการเลือกตั้งส.ส.ร. อาจจะมีความขลุกขลักบ้าง แต่ก็ได้นำข้อบกพร่องในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 54 มาปรับปรุงการทำงานของสำนักงานแล้ว อีกทั้งเวลานี้กกต.มองข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีการย้าย นายสุเทพ และนายกฤช ถูกมองว่าข้ามอาวุโสไปหลายคน นายภุชงค์ กล่าวว่า ถ้าเป็นระบบราชการ จะนับในเรื่องของอาวุโส การเข้ารับราชการ การเข้าสู่ตำแหน่ง เป็นหลัก แต่ของกกต. เป็นเรื่องยากมาก ที่จะยึดถือเรื่องนี้ เพราะบางคนเข้ามากกต.ปี 41 ได้บรรจุปี 43 แต่พอปี 47 รับบรรจุแต่งตั้งอีก มีการให้เงินพิเศษเพิ่มจากเงินเดือนเดิมอีก 30 % ก็ทำให้พนักงานบางคนได้รับเงินเดือนสูง แต่ตำแหน่งเล็กกว่า ขณะที่บางคนตำแหน่งสูงกว่า แต่ได้เงินเดือนน้อยกว่า
ดังนั้น ที่สำคัญกว่าคือเรื่องความเหมาะสม ซึ่งผู้บังคับบัญชาใช้เป็นหลักในการพิจารณา โดยนายสุเทพ เคยเป็นนายอำเภอ มีความเชี่ยวชาญในงานด้านการมีส่วนร่วม ส่วนนายกฤช ก็รักษาการในตำแหน่งผอ.สถาบันฯ มานานแล้ว ซึ่งพนักงานกกต.คนอื่นที่มีความอาวุโสกว่านายสุเทพ และนายกฤช เชื่อว่าจะได้รับโอกาสพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งในระดับสูงขึ้นอย่างแน่นอน เพราะกกต.วางนโยบายไว้แล้วว่า เมื่อยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปีจะต้องมีการขยับปรับย้าย
นอกจากนี้ให้ นายสมศักดิ์ สุริยมงคล ผู้ทรงคุณวุฒิ ไปดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการ ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ไปดำรงตำแหน่ง ผู้ทรงคุณวุฒิ นายประจักษ์ อินทะกนก ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาการเลือกตั้ง ไปดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ และพ.ต.อ.พันธ์ระวี วีระพันธุ์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ไปดำรงตำแหน่ง ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาการเลือกตั้ง โดยให้มีผลในวันที่ 10 พ.ค.นี้
ทั้งนี้ ในส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ตำแหน่งต่างๆ นั้น นายสมชาติ เป็นรองเลขาธิการมา 2 ด้านกิจการ รวม 6 ปี ทั้งที่ตามนโยบายของกกต. ที่วางไว้หากดำรงตำแหน่งครบ 4 ปีแล้วจะต้องมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งตำแหน่งผู้ตรวจการ เทียบเท่ากับรองเลขาฯ อยู่แล้ว โดยนายสมผุส ก็เคยเป็นนายอำเภอ และเป็นผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยมาก่อน มาอยู่กกต.ถึง 6 ปีแล้ว ทำงานด้านการประชุมมานาน รู้งานการบริหารเป็นอย่างดี จึงมีความเหมาะสม ขณะที่นายภูมิพิทักษ์ ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ทำให้ไม่มีเวลาปฏิบัติงาน สำหรับนายสุเทพ นั้นเป็นพนักงานกกต. มาตั้งแต่ปี 43 ดำรงตำแหน่งระดับรองสำนักฯ แม้จะเคยออกไปอยู่สำนักงาน ป.ป.ช. แต่เมื่อกลับมาก็เข้ามาดำรงตำแหน่งในระดับเดิม อีกทั้งเป็นคนที่ดูในเรื่องการณรงค์ให้ความรู้กับเยาวชน เข้ามามีส่วนร่วมกับการเลือกตั้ง ส่วนนายกฤช ที่มีการระบุว่า ขึ้นชั้นระดับรองเลขาธิการกกต. ก็ไม่ใช่เพราะตำแหน่งผอ.สถาบันพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้ง ไม่ได้เทียบเท่ากับรองเลขาฯ แต่เทียบเท่าสำนักฯ เพียงแต่สถาบันใหญ่ขึ้นเท่านั้น
ส่วนนายสมศักดิ์ ที่จะมาเป็นรองเลขาธิการกกต. ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง ทางกกต.ก็เห็นว่า เคยเป็นนายอำเภอ และเป็นรองเลขาธิการด้านกิจการพรรคการเมืองที่เป็นตำแหน่งบริหารมาก่อนอยู่แล้ว ก็จะสลับกับนายบุณยเกียรติ ที่จะไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งนายบุณยเกียรติ เป็นคนที่ทำงานดีมาก เหนื่อยกับงานบริหารงานเลือกตั้งมานาน กกต.ก็เห็นว่า เป็นผู้มีความรู้ความสามารถมาก ถึงจะย้ายไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ขณะนี้กกต. จะต้องออกระเบียบเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส.ร.รวมทั้งกำลังจะรับโอนงานการจัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และบัญชีผู้เสียสิทธิเลือกตั้ง มาจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ก็จะมีการมอบงานนี้ให้นายบุณยเกียรติ ดูแล
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับการโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ทั้งหมด จะยังคงรักษาการในตำแหน่งเดิม คือ ตำแหน่งผอ.สำนักไปก่อน จนกว่าการสอบเลื่อนชั้นผู้บริหารที่จะขึ้นระดับผอ.สำนักทั้ง 24 สำนักในเดือนมิ.ย.แล้วเสร็จ และมีคำสั่งแต่งตั้งในเดือนก.ค.
" การแต่งตั้งโยกย้ายทั้งหมด ยืนยันกกต.ไม่ได้กระทำโดยมีอคติกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เนื่องจากทางสำนักงานฯไม่ได้มีการปรับย้ายระดับรองเลขาฯมา 2 ปี และผมเพิ่งจะเข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการกกต. ก็เห็นว่าควรจะมีการถ่ายเทผู้บริหารเพื่อสร้างนักบริหารมือ ซึ่งเชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงของกกต.ทุกท่าน สามารถทำงานได้ในทุกด้าน ไม่ว่าจะถูกย้ายไปทำงานในด้านใด"
เมื่อถามว่า การย้ายนายบุณยเกียรติ เกี่ยวข้องกับความผิดพลาดในการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว.สรรหาใช่หรือไม่ เลขาธิการกกต. กล่าวว่า กรณีการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว.สรรหา ผลการสอบข้อเท็จจริงออกมาว่า มีข้อบกพร่อง โดยกกต.ได้มอบให้สำนักงานไปดำเนินการ ซึ่งตนกำลังจะมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่า ข้อบกพร่องดังกล่าวมันอยู่ตรงไหน อย่างไร ขณะนี้ยังบอกไม่ได้ แต่เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการสอบสวน และอยากให้นายบุณยเกียรติมาทำงานในด้านวิชาการให้มากขึ้น โดยนายบุณยเกียรติ ยังเหลืออายุราชการอีกนาน เพราะเกิดในปี 2499
เมื่อถามต่อว่า ผลการสอบข้อเท็จจริงที่ระบุว่า มีข้อบกพร่อง เป็นการบกพร่องในชั้นการตรวจสอบ หรือบกพร่องไม่นำเสนอให้คณะกรรมการสรรหา ส.ว. และถ้าผลสอบจะโยงไปถึงนายสุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาธิการกกต. จะสามารถเอาผิดได้หรือไม่ นายภุชงค์ กล่าวว่า ต้องดูว่าจะโยงไปได้มากน้อยแค่ไหน รวมทั้งความบกพร่องนั้นก็ต้องดูอีกที ว่าเป็นการบกพร่องในชั้นไหน ซึ่งสำนวนการสอบข้อเท็จจริงมีรายละเอียดมาก
อย่างไรก็ตาม คิดว่าการย้ายนายบุณยเกียรติ ไม่ผลกระทบกับการที่กกต.กำลังจะต้องจัดการเลือกตั้งส.ส.ร. อาจจะมีความขลุกขลักบ้าง แต่ก็ได้นำข้อบกพร่องในการเลือกตั้งส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 54 มาปรับปรุงการทำงานของสำนักงานแล้ว อีกทั้งเวลานี้กกต.มองข้ามช็อตไปถึงการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า กรณีการย้าย นายสุเทพ และนายกฤช ถูกมองว่าข้ามอาวุโสไปหลายคน นายภุชงค์ กล่าวว่า ถ้าเป็นระบบราชการ จะนับในเรื่องของอาวุโส การเข้ารับราชการ การเข้าสู่ตำแหน่ง เป็นหลัก แต่ของกกต. เป็นเรื่องยากมาก ที่จะยึดถือเรื่องนี้ เพราะบางคนเข้ามากกต.ปี 41 ได้บรรจุปี 43 แต่พอปี 47 รับบรรจุแต่งตั้งอีก มีการให้เงินพิเศษเพิ่มจากเงินเดือนเดิมอีก 30 % ก็ทำให้พนักงานบางคนได้รับเงินเดือนสูง แต่ตำแหน่งเล็กกว่า ขณะที่บางคนตำแหน่งสูงกว่า แต่ได้เงินเดือนน้อยกว่า
ดังนั้น ที่สำคัญกว่าคือเรื่องความเหมาะสม ซึ่งผู้บังคับบัญชาใช้เป็นหลักในการพิจารณา โดยนายสุเทพ เคยเป็นนายอำเภอ มีความเชี่ยวชาญในงานด้านการมีส่วนร่วม ส่วนนายกฤช ก็รักษาการในตำแหน่งผอ.สถาบันฯ มานานแล้ว ซึ่งพนักงานกกต.คนอื่นที่มีความอาวุโสกว่านายสุเทพ และนายกฤช เชื่อว่าจะได้รับโอกาสพิจารณาให้ดำรงตำแหน่งในระดับสูงขึ้นอย่างแน่นอน เพราะกกต.วางนโยบายไว้แล้วว่า เมื่อยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปีจะต้องมีการขยับปรับย้าย