เลขาฯ กกต.เผยเซ็นโยกย้าย จนท.ระดับบิ๊กอีกหลายตำแหน่ง ขณะสื่อสุดมึน แต่งตั้งคนนอกสายนั่งเก้าอี้ เน้นคนเก่ง ไม่เน้นคนเชี่ยวชาญส่องานพลาด ด้าน จนท.เชื่อ กกต.เอาคนของตัวเองเสียบก่อนหมดวาระ
วันนี้ (7 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า หลังจากที่ กกต.ได้มีการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานตำแหน่งบริหารระดับสูงไป เมื่อวันที่ 1 และ 3 พ.ค. นั้น ตนได้ลงนามแต่งตั้งบุคคลไปรักษาการในตำแหน่งที่ว่างลงประมาณ 4-5 ตำแหน่งที่ว่าง โดยในตำแหน่ง ผอ.กต.จว.ชัยภูมิ ที่ถูกดึงตัวเข้ามาเป็น ผอ.สำนักการคลัง แล้วให้ นายนิสิต สุทธิ์วรรักษ์ ผอ.ฝ่ายกฎหมายและคดี ผู้บริหารระดับกลางไปรักษาการณ์แทน นอกจากนี้ ยังได้โยกย้ายสลับตำแหน่งอีก 3 ตำแหน่ง คือ แต่งตั้งให้ นายเบญจพล อุดมสุวรรณ์ ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง ไปรักษาการในตำแหน่งที่ นายสุเทพ พรหมวาศ ผอ.สำนักรณรงค์และเผยแพร่ ที่กกต.ได้แต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วมแล้ว เมื่อวันที่ 1 พ.ค. แล้วแต่งตั้ง พ.ท.สดุดี ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ผอ.กต.จว.พิษณุโลก เข้ามารักษาการในตำแหน่ง ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง แทน นายเบญจพล แล้วแต่งตั้งให้ นายศรัญยู อาทิตย์ศรัณยากร ผอ.ฝ่ายนโยบายและแผน ไปรักษาการในตำแหน่ง ผอ.กต.จว.พิษณุโลก ที่ถูกดึงเข้ามาทำงานในส่วนกลาง สาเหตุที่ต้องสลับสับเปลี่ยนกันในครั้งนี้ ก็เพื่อให้การทำงานในจังหวัดเดินหน้าได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องรอขั้นตอนการสอบเลื่อนระดับจากผู้บริหารระดับสูงในเดือน มิ.ย. ซึ่งการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการ กกต.จึงไม่ได้เข้าที่ประชุม กกต.
รางายข่าวแจ้งว่า สำหรับคำสั่งการตั้งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ ดูแล้วแปลกๆ และงงกับคำสั่งของ กกต. ทั้งที่ควรตั้งบุคคลให้ตรงกับลักษณะของงาน แต่กลับสั่งและสลับคนที่ไม่เคยทำในสายงานมาก่อนไปดำรงตำแหน่ง จนอาจจะทำให้การทำงานในส่วนของการบริหารงานด้านต่างๆ นั้น มีปัญหาได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นแนวคิดของ กกต.ว่า คนที่ได้สอบผ่านเกณฑ์มาแล้วก็สามารถที่จะทำในด้านของการบริหารงาน แต่งานของ กกต.นั้น บางงานควรที่จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และที่ผ่านมา กกต.ก็ใช้วิธีนี้มาบ้างแล้วและก็เกิดปัญหาจริงๆ ซึ่งก็ถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งแล้ว ว่า การทำงานที่ผ่านมา ก็มีการสะดุด ทั้งในเรื่องของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.และการสรรหา ส.ว. ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมาจาการสอบแข่งขันในระหว่างพนักงานโยกย้ายเอาคนเก่งที่เข้ามา ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ แต่ครั้งที่ผ่านมายังถือว่าไปได้ เพราะยังมีคนเก่งคอยกำกับดูแลในแต่ละด้านอยู่ แต่ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยน โดยสลับขั้วสลับฝ่าย จึงทำให้มีการมอง และวิพากษ์วิจารณ์ว่า การทำงานอาจมีปัญหามากกว่าที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พนักงานใน กกต.มองว่า ในการบริหารของ กกต.ชุดนี้ คิดว่าตนเองคงจะอยู่อีกไม่นานก็จะหมดวาระลงแล้ว ซึ่งเป็นช่วงนับถอยหลัง โดยจะอยู่บริหารงานอีกเพียง 1 ปี 7 เดือน จึงสลับเอาคนของตัวเองมาทำงานในด้านที่ตัวเองดูแล โดยมี กกต.บางคนยังเคยพูดว่า สงสัยจะไม่ได้อยู่จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร. เพราะหมดวาระเสียก่อน ดังนั้น การแต่งตั้งโยกย้ายของ กกต.ที่ผ่านมา และในอนาคต จะต้องมีผลถึงการบริหารงานของ กกต.ชุดใหม่จะมีปัญหาหรือไม่ และสำนักงาน กกต.ก็จะมีจุดอ่อนซึ่งจะเป็นปัญหาในสำนักงานที่มีคนเก่งมากมายแต่ทำงานไม่ได้
วันนี้ (7 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่า หลังจากที่ กกต.ได้มีการแต่งตั้งโยกย้ายพนักงานตำแหน่งบริหารระดับสูงไป เมื่อวันที่ 1 และ 3 พ.ค. นั้น ตนได้ลงนามแต่งตั้งบุคคลไปรักษาการในตำแหน่งที่ว่างลงประมาณ 4-5 ตำแหน่งที่ว่าง โดยในตำแหน่ง ผอ.กต.จว.ชัยภูมิ ที่ถูกดึงตัวเข้ามาเป็น ผอ.สำนักการคลัง แล้วให้ นายนิสิต สุทธิ์วรรักษ์ ผอ.ฝ่ายกฎหมายและคดี ผู้บริหารระดับกลางไปรักษาการณ์แทน นอกจากนี้ ยังได้โยกย้ายสลับตำแหน่งอีก 3 ตำแหน่ง คือ แต่งตั้งให้ นายเบญจพล อุดมสุวรรณ์ ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง ไปรักษาการในตำแหน่งที่ นายสุเทพ พรหมวาศ ผอ.สำนักรณรงค์และเผยแพร่ ที่กกต.ได้แต่งตั้งให้เป็นรองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการการมีส่วนร่วมแล้ว เมื่อวันที่ 1 พ.ค. แล้วแต่งตั้ง พ.ท.สดุดี ภวภูตานนท์ ณ มหาสารคาม ผอ.กต.จว.พิษณุโลก เข้ามารักษาการในตำแหน่ง ผอ.สำนักกิจการพรรคการเมือง แทน นายเบญจพล แล้วแต่งตั้งให้ นายศรัญยู อาทิตย์ศรัณยากร ผอ.ฝ่ายนโยบายและแผน ไปรักษาการในตำแหน่ง ผอ.กต.จว.พิษณุโลก ที่ถูกดึงเข้ามาทำงานในส่วนกลาง สาเหตุที่ต้องสลับสับเปลี่ยนกันในครั้งนี้ ก็เพื่อให้การทำงานในจังหวัดเดินหน้าได้ ขณะเดียวกัน ก็ต้องรอขั้นตอนการสอบเลื่อนระดับจากผู้บริหารระดับสูงในเดือน มิ.ย. ซึ่งการแต่งตั้งครั้งนี้เป็นอำนาจหน้าที่ของเลขาธิการ กกต.จึงไม่ได้เข้าที่ประชุม กกต.
รางายข่าวแจ้งว่า สำหรับคำสั่งการตั้งตั้งโยกย้ายครั้งนี้ ดูแล้วแปลกๆ และงงกับคำสั่งของ กกต. ทั้งที่ควรตั้งบุคคลให้ตรงกับลักษณะของงาน แต่กลับสั่งและสลับคนที่ไม่เคยทำในสายงานมาก่อนไปดำรงตำแหน่ง จนอาจจะทำให้การทำงานในส่วนของการบริหารงานด้านต่างๆ นั้น มีปัญหาได้ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นแนวคิดของ กกต.ว่า คนที่ได้สอบผ่านเกณฑ์มาแล้วก็สามารถที่จะทำในด้านของการบริหารงาน แต่งานของ กกต.นั้น บางงานควรที่จะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และที่ผ่านมา กกต.ก็ใช้วิธีนี้มาบ้างแล้วและก็เกิดปัญหาจริงๆ ซึ่งก็ถือเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งแล้ว ว่า การทำงานที่ผ่านมา ก็มีการสะดุด ทั้งในเรื่องของการจัดการเลือกตั้ง ส.ส.และการสรรหา ส.ว. ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะมาจาการสอบแข่งขันในระหว่างพนักงานโยกย้ายเอาคนเก่งที่เข้ามา ซึ่งไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ แต่ครั้งที่ผ่านมายังถือว่าไปได้ เพราะยังมีคนเก่งคอยกำกับดูแลในแต่ละด้านอยู่ แต่ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยน โดยสลับขั้วสลับฝ่าย จึงทำให้มีการมอง และวิพากษ์วิจารณ์ว่า การทำงานอาจมีปัญหามากกว่าที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม พนักงานใน กกต.มองว่า ในการบริหารของ กกต.ชุดนี้ คิดว่าตนเองคงจะอยู่อีกไม่นานก็จะหมดวาระลงแล้ว ซึ่งเป็นช่วงนับถอยหลัง โดยจะอยู่บริหารงานอีกเพียง 1 ปี 7 เดือน จึงสลับเอาคนของตัวเองมาทำงานในด้านที่ตัวเองดูแล โดยมี กกต.บางคนยังเคยพูดว่า สงสัยจะไม่ได้อยู่จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร. เพราะหมดวาระเสียก่อน ดังนั้น การแต่งตั้งโยกย้ายของ กกต.ที่ผ่านมา และในอนาคต จะต้องมีผลถึงการบริหารงานของ กกต.ชุดใหม่จะมีปัญหาหรือไม่ และสำนักงาน กกต.ก็จะมีจุดอ่อนซึ่งจะเป็นปัญหาในสำนักงานที่มีคนเก่งมากมายแต่ทำงานไม่ได้
