นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่มีการเสนอว่า อาจจะกลับไปประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี หลังเกิดเหตุผู้ก่อความไม่สงบโจมตีทหารจนมีผู้เสียชีวิต 3 ราย เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า หากรัฐบาลกลีบไปประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจริง ก็ถือว่ามีความถดถอยในการแก้ปัญหา จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าทำในสิ่งที่ทุกฝ่ายได้ร่วมกันทำมา คือ อาศัยกฎหมายของ ศอบต. และนโยบายที่จัดทำตามกฎหมายนี้โดยสภารับทราบแล้ว การตั้งต้นใหม่โดยบอกว่า ต้องมีคณะกรรมการชุดใหม่อีก ทั้งที่ในกฎหมาย ได้กำหนดโครงสร้างที่มีความต่อเนื่องไว้แล้ว จะทำให้เกิดความหยุดชะงัก ความสับสนตามมา ในเรื่องของทิศทางการแก้ปัญหา อีกทั้งรัฐบาลยังไม่ผลักดีนโยบาย ที่ผ่านความเห็นชอบจากทุกฝ่ายมาแล้ว ก็จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลคำนึงถึงความต่อเนื่อง ตามโครงสร้างตามกฎหมาย จะทำให้เกิดความชัดเจนในการแก้ปัญหามากกว่า และรัฐบาลต้องยอมรับว่า การแก้ปัญหาต้องใช้เวลา ถ้าพยายามจะเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลา และขีดเส้นว่า ปัญหาต้องจบภายในกี่เดือน กี่ปี ก็จะผิดพลาดซ้ำรอยกับที่เคยเกิดขึ้นในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีก
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวถึงกรณี ครม.มีมติ มอบอำนาจให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ดูแลปัญหาภาคใต้ว่า การมอบหมายบุคคลที่ชัดเจน มีความจำเป็นในทางปฏิบัติ แต่ต้องไม่สับสนกับโครงสร้างการบริหารตามกฎหมายใหม่ ที่มีกรรมการอยู่แล้วโดยนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี เอาใจใส่ในเรื่องนี้ เพราะถ้าบอกว่า รองนายกรัฐมนตรี ไปดูแลจนทำให้กรรมการที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ถูกลดความสำคัญไป นายกรัฐมนตรี จึงปล่อยเรื่องนี้ ก็คงไม่เป็นผลดี และอยากให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ระมัดระวังการให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการระบุจำนวนแกนนำผู้ก่อความไม่สงบ ไม่แตกต่างจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำ จะไม่เป็นผลดีต่อการคลี่คลายสถานการณ์ เพราะแม้ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคง จะมีข้อมูลภายในอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบอกว่า มีเท่านั้น เท่านี้ แล้วไปส่งสัญญาณให้เกิดความเข้าใจผิดว่า จะแก้อย่างไร เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจว่า กำลังจะมีการใช้ควมรุนแรง แก้ความรุนแรง จึงอยากให้ทบทวนในเรื่องนี้ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยอมรับว่า นโยบายที่ผ่านมามีความผิดพลาด รัฐบาลชุดนี้จึงไม่ควรซ้ำรอยเดิม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุรุนแรงถี่ขึ้น เป็นเพราะมีความสับสนตั้งแต่การเดินทางเข้ามาเลเซีย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าจะแก้ไข ก็ไม่สายเกินไป นอกจากนั้น ต้องอย่าให้เกิดความเข้าใจว่ารัฐบาลจะย้อนกลับไปใช้แนวทางเหมือนในปี 47-48 อีก
ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวถึงกรณี ครม.มีมติ มอบอำนาจให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ดูแลปัญหาภาคใต้ว่า การมอบหมายบุคคลที่ชัดเจน มีความจำเป็นในทางปฏิบัติ แต่ต้องไม่สับสนกับโครงสร้างการบริหารตามกฎหมายใหม่ ที่มีกรรมการอยู่แล้วโดยนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จึงอยากให้นายกรัฐมนตรี เอาใจใส่ในเรื่องนี้ เพราะถ้าบอกว่า รองนายกรัฐมนตรี ไปดูแลจนทำให้กรรมการที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ถูกลดความสำคัญไป นายกรัฐมนตรี จึงปล่อยเรื่องนี้ ก็คงไม่เป็นผลดี และอยากให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ระมัดระวังการให้สัมภาษณ์ เกี่ยวกับการระบุจำนวนแกนนำผู้ก่อความไม่สงบ ไม่แตกต่างจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำ จะไม่เป็นผลดีต่อการคลี่คลายสถานการณ์ เพราะแม้ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคง จะมีข้อมูลภายในอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบอกว่า มีเท่านั้น เท่านี้ แล้วไปส่งสัญญาณให้เกิดความเข้าใจผิดว่า จะแก้อย่างไร เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจว่า กำลังจะมีการใช้ควมรุนแรง แก้ความรุนแรง จึงอยากให้ทบทวนในเรื่องนี้ เนื่องจากพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยอมรับว่า นโยบายที่ผ่านมามีความผิดพลาด รัฐบาลชุดนี้จึงไม่ควรซ้ำรอยเดิม
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุรุนแรงถี่ขึ้น เป็นเพราะมีความสับสนตั้งแต่การเดินทางเข้ามาเลเซีย ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าจะแก้ไข ก็ไม่สายเกินไป นอกจากนั้น ต้องอย่าให้เกิดความเข้าใจว่ารัฐบาลจะย้อนกลับไปใช้แนวทางเหมือนในปี 47-48 อีก