“อภิสิทธิ์” จวก รัฐบาลรวบรัดให้กรมพัฒนาชุมชนจัดเวทีสานเสวนาปรองดองให้เสร็จใน 60 วัน ระบุให้เวลาน้อยไป แถมใช้หน่วยงานรัฐดำเนินการแทนที่จะใช้องค์กรที่เป็นกลาง เตรียมบี้ในที่ประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้า ถอนงานวิจัย ตามจุดยืนที่แถลงการณ์ไว้ เตือน “ยุทธศักดิ์” รับผิดชอบดับไฟใต้ อย่าปากพล่อยส่งสัญญาณผิดซ้ำรอยยุค “นช.แม้ว” ใช้ความรุนแรงแก้ความรุนแรงจนสถานการณ์บานปลาย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฏร และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ครม. มีมติให้กรมพัฒนาชุมชน จัดเวทีสานเสวนาเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองภายใน 60 วันว่า ในมติ ครม.ก็ยังไม่ชัดเจนว่ากรอบเวลาดังกล่าวหมายถึงทุกอย่างเสร็จหรือไม่ แต่อยากย้ำว่าที่มีการศึกษาเรื่องนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงสิ้นปี ถ้ารัฐบาลวจะทำภายใน 60 วันก็จะเป็นการรวบรัดไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของสถาบันพระปกเกล้า
อีกทั้งรัฐบาลควรหาคนกลางมาขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยรัฐบาลมีหน้าที่สนับสนุนไม่ใช่ให้หน่วยงานราชการหรือฝ่ายบริหารเป็นเจ้าภาพเสียเอง เพราะหากดำเนินการเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาว่าเวทีการเปิดเสวนาจะเปิดกว้างจริงหรือไม่ การที่อ้างว่าจะให้สถาบันพระปกเกล้า อบรมวิทยากรให้นั้นไม่เพียงพอต่อการจัดเวทีเสวนา ต้องถามว่าทำไมรัฐบาลจึงไม่ให้สถาบันพระปกเกล้าหรือคนที่ทำเรื่องนี้ดำเนินการ ทำไมต้องเริ่มต้นทำกันใหม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลทำเองหรือให้สถาบันพระปกเกล้ามาทำ หากมีกรอบเวลาบีบบังคับว่าต้องแล้วเสร็จภายใน 60 วันก็ไม่ใช่แนวทางปรองดอง ถ้าบอกว่าจะรับฟังความเห็นให้เสร็จภายใน 60 วันผิดแน่นอน ไม่เป็นไปตามแนวทางที่คนทำงานเรื่องนี้เสนอไว้เลย
“ในวันที่ 4 พ.ค.นี้จะมีการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้า เชื่อว่าคงมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาว่าในขณะนี้งานของสถาบันถูกหยิบไปใช้ในทางที่ถูกต้องหรือไม่ ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการก็จะตั้งข้อสังเกตต่อที่ประชุมว่า สถาบันต้องยืนยันตามแถลงการณ์เดิมและต้องมีบทบาทในการติดตามว่ามีการนำงานวิจัยของสถาบันไปใช้อย่างไร เพราะสถาบันมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องกล้าที่จะชี้ให้สังคมเห็นว่าปัญหาของการดำเนินการที่รัฐบาลทำอยู่มีอะไรบ้าง”
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงข่าวอาจจะกลับไปประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ อ.แม่ลาน ปัตตานี หลังเกิดเหตุผู้ก่อความไม่สงบโจมตีทหารจนมีผู้เสียชีวิต 3 ราย เมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมาว่า หากรัฐบาลกลับไปประกาศใช้
พ.ร.ก.ฉุกเฉินจริงก็ถือว่ามีความถดถอยในการแก้ปัญหา จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าทำในสิ่งที่ทุกฝ่ายได้ร่วมกันทำมา คือ อาศัยกฎหมายของ ศอ.บต. และนโยบายที่จัดทำตามกฎหมายนี้โดยสภารับทราบแล้ว การตั้งต้นใหม่โดยบอกว่าต้องมีคณะกรรมการชุดใหม่อีก ทั้งที่ในกฎหมายได้กำหนดโครงสร้างที่มีความต่อเนื่องไว้แล้วจะทำให้เกิดความหยุดชะงัก ความสับสนตามมาในเรื่องของทิศทางการแก้ปัญหา
อีกทั้งรัฐบาลยังไม่ผลักดันนโยบายที่ผ่านความเห็นชอบจากทุกฝ่ายมาแล้วก็จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนในเชิงนโยบายขึ้น จึงอยากให้รัฐบาลคำนึงถึงความต่อเนื่องตามโครงสร้างตามกฎหมายจะทำให้เกิดความชัดเจนในการแก้ปัญหามากกว่า และรัฐบาลต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาต้องใช้เวลา ถ้าพยายามจะเริ่มต้นใหม่ตลอดเวลาและขีดเส้นว่าปัญหาต้องจบภายในกี่เดือน กี่ปี ก็จะผิดพลาดซ้ำรอยกับที่เคยเกิดขึ้นในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อีก
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่ ครม.มีมติ มอบอำนาจให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีดูแลปัญหาภาคใต้ว่า การมอบหมายบุคคลที่ชัดเจนมีความจำเป็นในทางปฏิบัติ แต่ต้องไม่สับสนกับโครงสร้างการบริหารตามกฎหมายใหม่ที่มีกรรมการอยู่แล้วโดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน จึงอยากให้นายกรัฐมนตรีเอาใจใส่ในเรื่องนี้ เพราะถ้าบอกว่ารองนายกรัฐมนตรีไปดูแลจนทำให้กรรมการที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานถูกลดความสำคัญไป นายกรัฐมนตรีจึงปล่อยเรื่องนี้ก็คงไม่เป็นผลดี และอยากให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ระมัดระวังการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการระบุจำนวนแกนนำผู้ก่อความไม่สงบ ไม่แตกต่างจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำ จะไม่เป็นผลดีต่อการคลี่คลายสถานการณ์ เพราะแม้ว่าหน่วยงานดานความมั่นคงจะมีข้อมูลภายในอยู่แต่ไม่ใช่เรื่องที่จะมาบอกว่ามีเท่านั้น เท่านี้ แล้วไปส่งสัญญาณให้เกิดความเข้าใจผิดว่าจะแก้อย่างไร เพราะอาจทำให้เกิดความเข้าใจว่ากำลังจะมีการใช้ควมรุนแรงแก้ความรุนแรง จึงอยากให้ทบทวนในเรื่องนี้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็ยอมรับว่านโยบายที่ผ่านมามีความผิดพลาด รัฐบาลชุดนี้จึงไม่ควรซ้ำรอยเดิม
“สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุรุนแรงถี่ขึ้นเป็นเพราะมีความสับสนตั้งแต่การเดินทางเข้ามาเลเซียของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าจะแก้ไขก็ไม่สายเกินไป นอกจากนั้นต้องอย่าให้เกิดความเข้าใจว่ารัฐบาลจะย้อนกลับไปใช้แนวทางเหมือนในปี 47-48 อีก”