ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เรียกว่า อับอายขายขี้หน้าจนไม่รู้จะเอา “หน้าเหลี่ยมๆ”ไปมุดแผ่นดินที่แห่งหนตำบลไหนกันเลยทีเดียวสำหรับความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยต่อ 2 ศึกเลือกตั้งที่สำคัญยิ่งแห่งเมืองปทุมธานี เมืองที่ได้ชื่อว่ามีคนเสื้อแดงอยู่เป็นจำนวนมาก
เพราะเป็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานกำลังที่สำคัญของคนเสื้อแดงถึง 2 ครั้งติดต่อกัน แถมยังเป็นความพ่ายแพ้ต่อศัตรูตัวฉกาจอย่าง “พรรคประชาธิปัตย์” ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอีกต่างหาก แม้ชัยชนะครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพราะการทำงานของตัวผู้สมัครมิได้เกี่ยวข้องกับทางพรรคก็ตาม
นั่นก็คือ ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปทุมธานีเขต 5 ที่นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ จากพรรคเพื่อไทย หมายเลข 1 ได้คะแนนรวม 24,119 คะแนน ขณะที่นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 2 ได้คะแนนรวม 27,981 คะแนน
และตอกย้ำให้เจ็บกระดองใจกันอีกครั้ง กับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ปทุมธานี เพราะ “ว่าที่ รต.สุเมธ ฤทธาคนี” อดีต ส.ส.ปทุมธานี เขต 5 ที่ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส.ไปลงสมัครเป็นนายกฯ อบจ.เนื่องจากต้องการยึดพื้นที่สนามการเมืองของจังหวัดปทุมธานีเอาไว้ให้ได้ในทุกระดับพ่ายแพ้อย่างหมดรูปต่อ “นายชาญ พวงเพ็ชร์ อดีตนายกฯ อบจ.ปทุมธานีสมัยที่แล้วด้วยคะแนนที่ห่างกันเป็นแสน โดย ว่าที่ร.ต.สุเมธได้ 110,974 คะแนน ขณะที่นายชาญได้ 214,429 คะแนน
เป็นความพ่ายแพ้ที่ไม่มีใครคาดคิดเพราะพกพาความได้เปรียบเอาไว้เต็มสองข้างกระเป๋า ทั้งในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลที่คุมทุกกลไกในการอำนวยความสะดวกต่อการเลือกตั้ง ไหนจะฐานเสียงของคนเสื้อแดงผู้จงรักภักดีในพื้นที่ซึ่งเป็นฐานคะแนนจัดตั้งที่แน่นอนตายตัว
กระทั่งส่งผลทำให้ “นช.ทักษิณ ชินวัตร” เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริงและประมุขสูงสุดของคนเสื้อแดงควันออกหูถึงกับไล่ตะเพิด ว่าที่ ร.ต.สุเมธต้นตอของปัญหาทั้งหลายทั้งปวงพ้นออกไปจากพรรคกันเลยทีเดียว
“ไอ้คนนี้คราวหน้าไปหาที่อื่นอยู่ พรรคไม่รับแล้ว ทำให้พรรคเสียหาย จะทำอะไร ขอให้ทุกคนคิดถึงพรรค เบื้องต้นคิดถึงชาติก่อน แล้วมาพรรค แล้วค่อยคิดถึงพรรค อย่าเอาตัวเองนำหน้า ถ้าคิดจะเป็นนักการเมืองที่ดี คนนี้พรรคไม่ส่งต่อแล้ว ไปหาที่อื่นอยู่ ผลเลือกตั้งอบจ.ปทุมธานี เพราะเขาดูถูกประชาชน ทำให้ประชาชนผิดหวัง ไม่ต้องมาอ้างว่ารัฐบาลขาลง”นช.ทักษิณด่ากราดผ่านการโฟนอินเข้ามายังโทรศัพท์ของนายสาโรช หงษ์ชูเวชในระหว่างที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุมส.ส.เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา
ก็จะไม่ให้ นช.ทักษิณโมโหโกรธาได้อย่างไร เพราะคนทั้งประเทศเขารับรู้ว่า จังหวัดปทุมธานีคือถิ่นของคนเสื้อแดง แถม ส.ส.ของจังหวัดนี้ทั้งจังหวัดก็ล้วนแล้วแต่เป็นของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้นคือ นายสุทิน นพขำ นายสุรพงษ์ อึ้งอำพรวิไล นายสมศักดิ์ ใจแคล้ว น.ส.พรพิมล ธรรมสาร ว่าที่ร้อยตรีสุเมธ ฤทธาคนี และนายชูชาติ หาญสวัสดิ์
ไม่เช่นนั้นแล้ว นายใหญ่คงไม่ตกรางวัลยกเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ปทุมธานีถึง 2 คนคือ นายชูชาญ หาญสวัสดิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยและนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้ ความจริงจะโยนบาปให้กับว่าที่ รต.สุเมธเพียงคนเดียวก็คงจะไม่ถูกต้อง
ดังนั้น ขอความกรุณา นช.ทักษิณอย่าเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น เพราะทั้งการลาออกจาก ส.ส.และทั้งการตัดสินใจลงสมัครนายกฯ อบจ.ของว่าที่ รต.สุเมธจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดไม่ไฟเขียว
ที่สำคัญคือ อาการโมโหโกรธาของ นช.ทักษิณเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าคือการแก้เกมความพ่ายแพ้ทางการเมือง และต้องการช่วงชิงพื้นที่ข่าวตามสื่อต่างๆ หลังจากถูก “ปรากฏการณ์ชาญ พวงเพ็ชร์” ประจานความขายขี้หน้ามาหลายต่อหลายวัน
นอกจากนี้ ประจักษ์พยานชัดๆ อีกข้อหนึ่งก็คือ การที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคเพื่อไทยอย่างนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รมว.มหาดไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรฯ นายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส.ระบบัญชีรายชื่อ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ยกขบวนกันไปตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ที่สนามกีฬาธูปะเตมีย์ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 16 เม.ย. เพื่อช่วยหาเสียงให้กับ นายสมชาย รังสิวัฒนศักดิ์ ผู้สมัครส.ส.ปทุมธานี เขต 5 พรรคเพื่อไทย และนายสุเมธ ฤทธาคนี ที่ลาออกจากส.ส.ปทุมธานี ไปลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี
“ก่อนคุณสุเมธจะลาออกจาก ส.ส.เพื่อมาลงเลือกตั้งนายกฯ อบจ.มีการประชุมและขอความเห็นจาก ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ทั้งหมดแล้ว โดยที่ประชุมตกลงกันเรียบร้อยว่าจะให้คุณสุเมธลงสมัครเพราะผลการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งที่แล้วคุณสุเมธได้คะแนนสูงสุด แล้วผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคก็ดาหน้ากันเข้ามาหาเสียงกันอย่างเอิกเกริกเพราะคาดหวังอย่างเต็มที่ในชัยชนะครั้งนี้ ที่พรรคเพื่อไทยส่งคุณสุเมธลงก็เพราะเชื่อมั่นว่าจะชนะ และวัตถุประสงค์สำคัญก็คือต้องการยึดการเมืองในทุกสนามเลือกตั้งของจังหวัดปทุมธานีเอาไว้ให้หมด”แหล่งข่าวซึ่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดปทุมธานีให้ข้อมูล
ขณะเดียวกันการที่ทางพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางสาวยิ่งลักษณ์พยายามปัดสวะต่อความพ่ายแพ้ทั้ง 2 เก้าอี้ด้วยการไปโทษว่ามีผู้มาใช้เลือกตั้งน้อยก็เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้น เช่นเดียวกับผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรี-ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงจะด้านหน้า ตีมึนว่า เป็นเพียงความพ่ายแพ้แค่ 1 ที่นั่งไม่มีผลอะไรกับทางพรรค แถมยังคุยโวโอ้อวดอีกต่างหากว่าถ้าเป็นภาคเหนือกับภาคอีสานรับรองไม่พลาดแน่ ก็เป็นเพียงคำแก้ตัวของคนแพ้ที่ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรมาตอบสังคมต่างหาก
ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์มั่วนิ่มเหมารวมว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงของพรรคตัวเองก็ไม่ได้ เพราะชัยชนะของนายเกียรติศักดิ์มิได้เกิดขึ้นเพราะผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เป็นผลมาจากการทำงานหนักในพื้นที่ช่วงที่เกิดมหาอุทกภัยจนประชาชนให้การยอมรับเป็นสำคัญ หรือพูดง่ายๆ คือกระแสของพรรคมิได้มีความหมายต่อทุกคะแนนเสียงที่นายเกียรติศักดิ์ได้รับประการใด พลพรรคแมลงสาบแห่งค่ายแม่พระธรณีบีบมวยผมจงสำเหนียกใส่กะลาหัวเอาไว้ด้วย
นอกจากนั้น ผลการเลือกตั้งของทั้ง 2 สนามของจังหวัดปทุมธานีมิอาจปฏิเสธได้ว่า มีผลมาจากการที่คนเสื้อแดงปทุมธานีเสื่อมศรัทธาใน 2 ตัวผู้สมัครในทั้ง 2 เวทีของพรรคเพื่อไทยจนถอดใจไม่ออกไปใช้สิทธิออกเสียงตั้ง ส่วนคนที่ออกไปลงคะแนนก็ตัดสินใจหยิบยื่นคะแนนให้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อต้องการสั่งสอนความยโสโอหังของพรรคเพื่อไทยที่ไม่เคยเห็นหัวมวลชนคนเสื้อแดง
กล่าวคือต้องการสั่งสอนว่าที่รต.สุเมธเพราะหนึ่ง-หลังจากที่ประชาชนชาวปทุมธานีไว้ความไว้วางใจเลือกเข้ามาเป็น ส.ส.เขต 5 แล้วก็ไม่สนใจที่จะทำงานและช่วยเหลือประชาชนในยามน้ำท่วม และสอง-วันดีคืนดีเมื่อฝันอร่อยถึงตัวเลขงบประมาณหลายพันล้าน ก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.มาลงสมัครนายก อบจ. เหมือนกับว่าคะแนนที่ประชาชนเลือกมาให้เป็น ส.ส.เขต 5 นั้นไม่มีความความหมาย
ต่างจากนายชาญ พวงเพ็ชรซึ่งทำงานร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงน้ำท่วมที่ปรากฏร่างนายชาญลงพื้นที่ช่วยเหลือ ประชาชนตลอดเวลา จึงไม่แปลกว่าทำไมคนปทุมธานีถึงเลือกนายชาญเป็นนายก อบจ.อีกครั้งหนึ่ง
เช่นเดียวกับกรณีของนายเกียรติศักดิ์ที่คว้าชัยชนะมาได้อย่างพลิกความคาดหมายเพราะการทำงานช่วยเหลือประชาชนในช่วงมหาอุทกภัยอย่างหามรุ่งหามค่ำ
“แม้ปทุมธานี จะถูกมองว่าเป็นถิ่นของคนเสื้อแดง แต่ความจริงแล้ว เชื่อว่าประชาชนไม่ได้ยึดติดกับสีเสื้อ อยู่ด้วยกันได้ท่ามกลางความแตกต่าง ไม่มีการแยกสี ซึ่งที่ผ่านมาคะแนนเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่ปทุมธานี ไม่ได้ด้อย แต่ใกล้เคียงกับพรรคเพื่อไทย ส่วนที่พรรคเพื่อไทยแพ้ทั้งสองสนาม ใน จ.ปทุมธานี ผมคิดว่ามาจากเหตุผลเดียวกัน คือ ปัญหาเรื่องน้ำท่วม และคนที่ ได้รับเลือกตั้งไม่เคยทอดทิ้งประชาชน เช่น กรณีของนายชาญ พวงเพชร ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็น นายกอบจ. ก็ทำงานหนักเพื่อประชาชน และจนถึงขณะนี้คนปทุมฯ ยังกังวลเรื่องน้ำท่วมมาก จนกระทั่งไม่กล้าทำความสะอาดบ้าน ยังไม่ ซื้อของเข้าบ้าน รอดูหน้าฝนก่อนว่า สถานการณ์จะเป็นอย่างไร เพราะไม่มั่นใจว่าจะไม่เกิดเหตุซ้ำเหมือนปีที่แล้ว จึงอยากฝากถึงรัฐบาลให้ข้อมูลที่ถูกต้องใน การแจ้งเตือนประชาชน เนื่องจากคราวที่แล้วรัฐบาลบอกว่าเอาอยู่ แต่ทำไม่ได้ ประชาชนก็ขาดความศรัทธา เพราะเสียหายมาก เนื่องจากเชื่อรัฐบาล”นายเกียรติศักดิ์ ส่องแสง ว่าที่ ส.ส.ปทุมธานี เขต 5 พรรคประชาธิปัตย์ให้ทัศนะ
ที่เด็ดที่สุดชนิดที่พรรคเพื่อไทยไม่อาจหาคำอธิบายใดๆ มาแก้ตัวได้ก็คือ การระบายอารมณ์ของคนเสื้อแดงผ่านเว็บไซต์ต่างๆ อย่างตรงไปตรงมาถึงเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งทั้ง 2 สนาม
กล่าวคือในเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของคนเสื้อแดงได้มีการโพสต์ข้อความสมน้ำหน้าที่พรรคเพื่อไทยสอบตก โดยยังมีการนำภาพส.ส.ปทุมธานีพรรคเพื่อไทยทั้ง 6 คน คือ นายสุทิน นพขำ นายสุรพงษ์ อึ้งอำพรวิไล นายสมศักดิ์ ใจแคล้ว น.ส.พรพิมล ธรรมสาร ว่าที่ร้อยตรีสุเมธ ฤทธาคนี และนายชูชาติ หาญสวัสดิ์ ซึ่งเป็นภาพเก่าที่เคยมีการโพสต์ตามหาคนหายในช่วงน้ำ ท่วมมาประกอบบทความของคนเสื้อแดง ชื่อเรื่อง “คนเสื้อแดงสาแก่ใจเพื่อไทยแพ้ปชป. เลือกตั้งซ่อมปทุมธานี” โดยผู้ที่ใช้ชื่อ attachai anantameak หรืออรรถไชย อนันตเมฆ ดาราเสื้อแดง โพสต์ข้อความว่า “5555 เลือกตั้งซ่อมวันนี้เพื่อไทยแพ้ที่ปทุมฯ ผมภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดงปทุมฯ ที่พิสูจน์แล้วว่าคนเสื้อแดงอยู่เหนือพรรคการเมือง ไม่ใช่จะทำอะไรกับคนเสื้อแดงก็ได้ พรุ่งนี้เลือกนายกฯ อบจ.ที่พวกอุตส่าห์ลาอกจากส.ส.มาลงอบจ. โดยไม่เกรงใจประชาชนที่เคยเลือกคุณไป ไม่เคยคิดถึงความเสียหายของภาษีประชาชนที่ใช้ไปในการเลือกตั้งซ่อม เพราะงบประมาณอบจ.ปทุมฯ นับพันล้าน คุณถึงกับยอมทิ้งตำแหน่งส.ส. พรุ่งนี้ผมว่าเสื้อแดงปทุมฯ จะพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่าแผ่นดินนี้ใครใหญ่ พอกันที่กับนักการเมืองน้ำเน่าพวกนี้ ประชาชนจงเจริญครับ”
ขณะเดียวกันก็ยังมีคนโพสต์ข้อความใช้ชื่อหัวข้อว่า “คนเสื้อแดงสมน้ำหน้าเพื่อไทย แพ้ซ้ำนายกฯ อบจ.” โดยผู้ใช้นามแฝงว่าลุงจุก ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงเขียนในเว็บบอร์ดประชาทอล์กว่า “วันนี้ขอสารภาพว่าไม่ได้ไปลงคะแนนเลือกอบจ. เพราะเซ็งกับที่เมื่อวานเราพลาดไม่ได้ส.ส.เขตนี้คืนมา วันนี้ก็เลยมานั่งนึกว่าคนที่ทำให้เพื่อไทยเสียส.ส.เขตนี้ไปก็คือคุณสุเมธ ก็เลยไม่ไปเลือกแล้ว ปล่อยไปเลย ตอนแรกช่วงเช้ากะว่าจะเข้ามาโพสต์เรื่องคุณสุเมธว่าทำไมชาวบ้านเขาถึงเบื่อคุณสุเมธ ก็เลยรอให้ปิดหีบเลือกตั้งอบจ.เสียก่อนคือ เมื่อตอนที่เพื่อไทยมาปราศรัยที่สนามกีฬาธูปเตมีย์ก็ไปพบพี่สาวคนหนึ่งเป็นเสื้อแดง เขาก็เล่าว่าตอนน้ำท่วมมีบ้านหลังหนึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งของคุณสุเมธมี คนโดนไฟฟ้าดูดตาย เขาก็โทรไปหาส.ส.สุเมธเพื่อขอความช่วยเหลือ โทร.ไปหลายรอบปรากฏไม่ยอมรับและปิดโทรศัพท์หนีเฉยเลย นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เอามาพูดปากต่อปากถึงการที่คุณสุเมธไม่ยอมช่วยเหลือชาวบ้าน
“และอีกกรณีพี่คนนี้แกนัดคุณสุเมธให้มาเจอชาวบ้าน (หลังน้ำลดหมดแล้ว) เพื่อให้มาอธิบายหรือให้มาแก้ตัวว่าเหตุใดตอนน้ำท่วมถึงไม่ลงมาช่วยเหลือชาวบ้าน พี่สาวคนนี้แกนัดให้มาเจอชาวบ้านสองครั้ง แต่ปรากฏว่าคุณสุเมธผิดนัดสองครั้ง โดยไม่ยอมมาตามนัด ทั้งๆ ที่รับปากเป็นหมั้นเป็นเหมาะ จนพี่คนนี้ทนไม่ได้ (เพราะแกนัดชาวบ้านมารอพบคุณสุเมธแล้ว) ต้องโทรไปต่อว่าคุณสุเมธ คุณสุเมธตอบแกว่า แกกลัวชาวบ้านด่า พี่คนนี้แกถึงกับโมโห ตะโกนใส่โทรศัพท์ต่อว่าคุณสุเมธว่า ถ้าแค่นี้พี่กลัวก็ไม่ต้องมาเป็นผู้แทนแล้ว แล้วจะไปทำอะไรได้ และก็คงต่อว่าไปอีกเยอะ และที่เขาพูดว่าเขาหมดความศรัทธาคุณสุเมธไปเยอะเลย ที่แกมาฟังปราศรัยก็เพราะแกยังรักเพื่อไทยอยู่ และก็จะกัดฟันไปเลือกส.ส.เพื่อไทยอีกด้วย นี่เป็นเหตุผลพอหรือไม่ที่ทำให้เพื่อไทยเสียส.ส.เขตนี้ เพราะคุณสุเมธเราว่ามันมากเกินพอจริงๆ แต่เรายังไม่รู้ว่ามีกรณีอื่นอีกมากมั้ยสำหรับคุณสุเมธที่ทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ”
นอกจากนั้น ในเว็บไซต์ไทยอีนิวส์ยังได้เปรียบเทียบผลการเลือกตั้งสองครั้งของ จ.ปทุมธานี : คนเลือกเพื่อไทยลดยวบ อ้างอิงจากผลคะแนนการเลือกตั้งจากระทู้ของ jedi เว็บไซต์ประชาทอล์ค ซึ่งมีการเปรียบเทียบคะแนนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยพบว่าสัดส่วนผู้ไปใช้สิทธิได้เลือกประชาธิปัตย์เพิ่มถึง 17% และเลือกเพื่อไทยน้อยลง 5% เมื่อเปรียบเทียบกับผู้มีสิทธิทั้งหมด ยังพบว่าสัดส่วนของผู้มีสิทธิต่อผู้ที่เลือกพรรคเพื่อไทยน้อยลงถึง 19% ขณะที่สัดส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ลดลงเพียง 5% ในมุมมองของไทยอีนิวส์ หากใช้ภาษาชาวบ้านอาจกล่าวได้ว่า “บรรดาแฟนพันธุ์แท้เพื่อไทยในจ.ปทุมลดลง 5% ในขณะที่คนไปเทคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น 17% และในบรรดาแฟนพันุธ์แท้คนเสื้อแดงงวดนี้นอนหลับทับสิทธิไม่ไปออกเสียงให้เพื่อไทยถึง 19%
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน แสดงทัศนะว่า ความพ่ายแพ้ใน 2 ศึกเลือกตั้งนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมที่ตกต่ำของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย โดยเกิดจากสาเหตุ 3 ประการคือ
ประการแรก เกิดจากการบริหารจัดการอุทกภัยที่ล้มเหลวของรัฐบาลพื้นที่จังหวัดปทุมธานีเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายอย่างรุนแรงที่สุดอีกจังหวัดหนึ่ง และแผนฟื้นฟูเยียวยาก็ยังล่าช้าไม่มีประสิทธิภาพ
ประการที่สอง เกิดจากความล้มเหลวทางนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ปรากฏเป็นจริงอย่างที่หาเสียงไว้ ปัญหาข้าวยากหมากแพง เพราะพื้นที่จังหวัดปทุมฯ มีทั้งชนชั้นกลางใหม่ และคนระดับล่าง รวมถึงผู้ใช้แรงงานอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้สัมผัสปัญหาข้าวยากหมากแพงได้โดยตรง
และประการที่สาม เกิดจากการชิงการนำชิงบทบาทกันเองระหว่างแกนนำเสื้อแดง กับแกนนำพรรคเพื่อไทย หลังพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งทั่วไป จึงเกิดความไม่พอใจการจัดสรรบทบาท และตำแหน่งทางการเมืองของส.ส.ในพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจถูกลดบทบาท เพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปให้บทบาทกับแกนนำม็อบเสื้อแดงมากกว่าคนทำงานในพรรคโดยตรง
แม้กระทั่งนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยังยอมรับว่า การพ่ายแพ้อาจเกิดจากการเลือกตั้งที่จัดเป็นการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นแบบกะทันหัน อีกทั้งอาจเกิดจากที่ ส.ส.ลงพื้นที่ไม่ทั่วถึงในช่วงที่เกิดอุทกภัยและพรรคเพื่อไทยต้องนำประสบการณ์นี้มาปรับปรุงการทำงานในครั้งต่อไป
เฉกเช่นเดียวกับนายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา ที่ให้ความเห็นว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง ต้องนำมาคิดเป็นการบ้าน เพื่อจะตอบโจทย์ได้ ถือว่าเป็นบทเรียนหนึ่ง ที่จะทำให้คนเสื้อแดงยิ่งรักกันมากขึ้น วันเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 5 และเลือกตั้งนายก อบจ.ทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ ตนก็อยู่ในเหตุการณ์ เพราะได้ไปช่วยจัดรายการของคนเสื้อแดงลำลูกกา ทำให้ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของคนเสื้อแดงว่า พวกเขาเจ็บปวดมาก ที่คนที่เขาเลือกมา กลับมาทำกับคนเสื้อแดงแบบนี้
อย่างไรก็ตาม นอกจากที่ปทุมธานีแล้ว ดูเหมือนว่า สถานการณ์การเมืองในลักษณะดังกล่าวกำลังขยายวงกว้างและสั่นสะเทือนพรรคเพื่อไทยในหลายจังหวัด โดยอีกหนึ่งจังหวัดที่ชัดเจนคือ “เชียงราย” เนื่องจากศึกเลือกตั้งนายกองค์กรบริหารส่วนจังหวัดเที่ยวนี้ มีทั้งตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยและตัวแทนจากแกนนำคนเสื้อแดงลงสมัครแข่งกันเองถึง 3 คนด้วกันคือนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ภรรยานายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่พรรคเพื่อไทยส่งสมัคร นายสฤษฎ์ อึ้งอภินันท์ แกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ น.ส.พนิดา มะโนธรรม แกนนำกลุ่มเชียงรายตะวันแดงกระตุ้นเศรษฐกิจ
“ในอดีตคนเสื้อแดงต่อสู้ด้วยอุดมการณ์มาโดยตลอดจนถึงขั้นต้องเสียสละทั้งชีวิตและมีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ในการขับเคลื่อนดังกล่าวยอมรับว่านายสฤษฎ์เป็นผู้ที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่า ส.ส.เชียงรายพรรคเพื่อไทยทั้ง 7 คน กลับไม่สนใจช่วยเหลือคนเสื้อแดงเลย แต่เมื่อมีการเลือกตั้งกลับจะมาขอให้คนเสื้อแดงไปสนับสนุน ทำให้พวกผมไม่หน้าด้านพอจะไปช่วยเหลือได้ เพราะเคยเจ็บปวดกันมาแล้ว ดังนั้น ยืนยันจะให้การสนับสนุนนายสฤษฎ์ต่อไป”นายสมชัย แสงทอง แกนนำกลุ่มเสียงประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเชียงราย ซึ่งเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในพื้นที่ จ.เชียงรายมาอย่างต่อเนื่องกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
และนี่ต่างหากคือเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้พรรคเพื่อไทยเดินทางมาถึงจุดตกต่ำ ซึ่ง ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะวัตถุประสงค์ในทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยไม่ได้ทำเพื่อคนเสื้อแดง แต่อาศัยฐานจากบรรดาไพร่เสื้อแดงในการกรุยทางเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และมุ่งหวังเพื่อให้นายใหญ่ของพวกเขาคือ นช.ทักษิณสามารถเหยียบประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกเพียงประการเดียวเท่านั้น
ยิ่งเมื่อเห็นเกมปรองดองของประมุขรัฐไทยใหม่ที่ส่งทั้งพี่เมีย-พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและน้องสาว-นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้หมอบราบคาบแก้วต่อหน้า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษโดยเหยียบย่ำศพคนเสื้อแดงด้วยข้ออ้าง “เสียสละเพื่อส่วนรวม” ด้วยแล้ว คนเสื้อแดงก็ยิ่งเจ็บช้ำน้ำใจเข้าไปใหญ่
เรียกว่า เดินหน้าเกมปรองดองกับอำมาตย์อย่างเต็มพิกัด โดยมิได้สนใจใยดีที่จะบริหารราชการแผ่นดินเพื่อช่วยเหลือประชาชนซึ่งกำลังทุกขเวทนาจากภาวะ “แพงทั้งแผ่นดิน” จนแทบหมดความอดทนรนแล้ว
ที่สำคัญคือ นอกจากไม่ช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนแล้ว รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังทำให้กิจการสาธารณูปโภคและการขนส่งต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตชักแถวกันขึ้นราคากันอย่างเอิกเกริก เริ่มจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) ที่ไฟเขียวให้ขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัติโนมัติ(เอฟที)ที่จะเรียกเก็บจากบิลค่าไฟประชาชนงวดใหม่เดือน พ.ค.-ส.ค.2555 จำนวน 0.30 บาทต่อหน่วยหรือเพิ่มขึ้น 7-8% ตามต่อด้วยคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบอกการที่อนุมัติให้รถโดยสารที่วิ่งระหว่างกรุงเทพฯกับต่างจังหวัด และรถโดยสารที่วิ่งระหว่างจังหวัด ปรับขึ้นค่าโดยสารอีก 0.04 บาทต่อกิโลเมตร ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค.2555 นี้เป็นต้นไป ส่วนรถสองแถวที่วิ่งในซอยให้ปรับขึ้นค่าโดยสารจาก 5.50 บาท เป็น 7 บาทและให้เก็บเพิ่มเป็น 9 บาทในช่วงเวลา 22.00-05.00 น. ขณะที่รถมินิบัสเดิมเป็นรถสองแถวและได้มีการปรับเป็นรถยนต์ที่ใช้ก๊าซเอ็นจีวีอนุมัติให้ปรับราคาขึ้นเป็น 8 บาทจากปัจจุบันที่คิดค่าโดยสาร 6.50 บาท
จุดเสื่อมของพรรคเพื่อไทยกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว