xs
xsm
sm
md
lg

เขาว่าสนธิรับเงินทักษิณ (อีกแล้ว) !?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

หลายคนที่ได้เป็นคนที่ติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ ก็มักจะได้ยินวาทกรรมในสังคมไทยตั้งแต่กรณีการโหวตโน ไปจนถึงการไม่ออกมาเคลื่อนไหวมวลชนว่า...

เพราะ“สนธิรับเงินทักษิณ” !!!?


บางคนยังใส่ร้ายเอามั่วๆว่ากิจกรรมโหวตโนนั้น เพราะสนธิรับเงินและรับงานมาจากทักษิณ ทั้งๆที่ในความเป็นจริง การดำเนินกิจกรรมโหวตโนนั้นไม่มีคนชื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล”มาเกี่ยวข้องในการตัดสินใจเลยแม้แต่น้อย แต่มาจากการลงมติและการถกเถียงกันอย่างยาวนานในคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยกับแกนนำรุ่นที่ 1 และ 2 ที่เหลือ โดยมีสักขีพยานเป็นจำนวนมาก ส่วน “สนธิ ลิ้มทองกุล” เป็นคนตามผลการหารือและการประชุม

ถึงขนาดในเวลานั้นมีการใส่ร้ายโดยที่คนๆนั้นไม่เคยเข้าประชุมว่า “เถ้าแก่สั่งมา”ให้โหวตโน

ทั้งๆที่กิจกรรม “โหวตโน” คราวนั้นหากทบทวนถึงเหตุผลปัจจัยสำคัญก็คือ

1. การสร้างแรงกดดันเพื่อให้ส่งผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลให้เดินออกและถอนตัวจากที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก

2. เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าพันธมิตรฯ ไม่ส่งเสริมระบบการเมืองที่ล้มเหลวและต้องการปฏิรูปการเมือง
เพราะนักการเมืองขั้วไหนต่างก็โกงบ้านกินเมืองกันทั้งสิ้น อีกทั้งได้พูดเอาไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ป้ายรณรงค์โหวตโนว่า หากมีการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 พรรคเพื่อไทยก็จะชนะพรรคประชาธิปัตย์ขาดลอย (ไม่ว่าจะมีคะแนนโหวตโนหรือไม่ก็ตาม) และพรรคเพื่อไทยก็จะได้มาเป็นรัฐบาลและจะชนะการลงคะแนนในระบบเผด็จการรัฐสภาในทุกวาระไปอีก 4 ปี หากลงคะแนนให้พรรคใดย่อมเท่ากับเป็นการส่งเสริมระบอบเผด็จการรัฐสภาให้มีความชอบธรรมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันก็เป็นไปตามที่ได้คาดการณ์เอาไว้ทุกประการ

3. โหวตโน มีผลทางกฎหมายถ้าโหวตชนะได้เกิน 26 เขตเลือกตั้งจะทำให้เปิดประชุมสภาไม่ได้เพราะการเลือกตั้งไม่ครบจำนวนร้อยละ 95 อันเป็นความเห็นทางกฎหมายจากนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล เลขานุการแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา และ น.พ.วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหนึ่งในคณะกรรมการในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามาอย่างยาวนาน รวมถึงความเห็นจาก น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ฯลฯ ซึ่งแม้ว่าในความเห็นทางกฎหมายยังมีความแตกต่างกันอยู่กับผู้ที่ไม่เห็นด้วย แต่อย่างน้อยแนวทางนี้ก็ยังเป็นทางเลือกที่ยังมีโอกาสพิสูจน์กันในชั้นศาลดีกว่าเลือกตั้งไปแล้วเห็นๆอยู่ชัดเจนว่าเพื่อไทยจะต้องชนะพรรคประชาธิปัตย์แล้วมาเป็นเผด็จการที่มาจากการเลือกตั้งอีก 4 ปี

ดังนั้นความจริงแล้วการที่มีคนบางกลุ่มยังคงแดกดันว่า “โหวตโน แล้วได้ผลลัพธ์คือสัตว์เข้าไปเต็มสภา” เป็นคำพูดที่ปราศจากข้อเท็จจริง เพราะในความเป็นจริงต่อให้คะแนนโหวตโนเลือกพรรคไหนก็ตามหรือต่อให้สมมุติเลือกประชาธิปัตย์ทั้งหมด ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิมคือ เพื่อไทยชนะประชาธิปัตย์ขาดลอย

ดังนั้นในความจริงแล้วต้องพูดใหม่ให้ถูกว่า: “เพราะโหวตโนน้อยเกินไป สัตว์ทั้งหลายจึงเข้าเต็มสภา”

บางคนทำอาชีพสื่อสารมวลชนรับใช้พรรคการเมืองบางพรรค ปล่อยข่าวตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 อย่างไร้ความรับผิดชอบว่าการรับเงินจากทักษิณนั้น จะทำให้ ASTV เปลี่ยนมือเจ้าของเมื่อเข้าสู่เดือนมิถุนายน 2555 และจะผังรายการใหม่จะมี ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ มาจัดรายการใน ASTV ด้วย


ซึ่งพอถึงเดือนมิถุนายน 2554 จะมาทบทวนความทรงจำหาคนที่รับผิดชอบอีกครั้ง ว่าคนที่พูดปล่อยข่าวเช่นนั้นพร้อมจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ ?

หลายคนแดกดันดูถูกว่าโหวตโนมีน้อยพันธมิตรฯเสื่อมแล้ว แต่ในขณะเดียวกันกลับกล่าวหาว่าหากพันธมิตรฯไม่เคลื่อนมวลชนออกมาหมายความว่า “พันธมิตรฯรับเงินทักษิณ” หรือไม่ก็ “สนธิรับเงินทักษิณ” อีก

ในความเป็นจริงแล้วถ้าถามพนักงาน ASTV ก็คงจะรู้กันหมดแล้วว่าธุรกิจ ASTV เป็นธุรกิจที่ไม่ได้หวังผลกำไร และเงินเดือนก็ออกช้าและมีความไม่แน่นอน ไม่ได้มีสภาพที่จะมีความร่ำรวยจากที่ได้เงินมาจากนายทุนคนไหนได้เลย

แม้แต่ดูโฆษณาใน ASTV ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนว่าไม่ได้มีกลุ่มทุนใดกล้าเข้ามาสนับสนุน แม้ว่าผลสำรวจยังพบว่ามีผู้ชม ASTV อยู่ในระดับสูง แต่ก็มีการโฆษณาแต่สินค้าในเครือของ ASTV ต่างจากทีวีที่สนับสนุนโดยพรรคการเมืองต่างมีโฆษณาหนุนหลังพรรคการเมืองเหล่านั้นเป็นจำนวนมาก

ในขณะที่ ASTV และสื่อในเครือยังคงเป็นกระบอกเสียงในการโจมตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์, ตรวจสอบความล้มเหลวในนโยบายพลังงาน, ปัญหาค่าครองชีพ, ยื่นคำร้องและฟ้องร้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ฯลฯ แต่ในขณะเดียวก็ทบทวนความล้มเหลวของอดีตรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อยู่เหมือนเดิม ก็ไม่มีเหตุผลเช่นเดียวกันที่จะอ้างได้ว่าสื่อในเครือ ASTV-ผู้จัดการ รับเงินจากนายทุนจากทักษิณหรือพรรคการเมืองไหนได้เลย

และแม้แต่การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯที่ประกาศแล้วว่าจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข 3 ประการ คือ การแก้ไขหรือตรากฎหมายเพื่อลดพระราชอำนาจหรือโครงสร้างของสถาบันพระมหากษัตริย์ การแก้ไขหรือตรากฎหมายเพื่อนิรโทษกรรให้ทักษิณและพวก และเมื่อประชาชนตื่นรู้และต้องการการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปใหญ่ทั่วประเทศ เงื่อนไขเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใครกำหนด นอกจากที่ประชุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั่วประเทศเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งการไม่เคลื่อนไหวในประเด็นอื่นจึงเป็นมติของมวลชน ที่ไม่ใช่ใครจะมาดูถูกว่าประชาชนเหล่านี้ทั้งหมดรับเงินทักษิณได้เลย

ทุกวันนี้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไม่ได้มีความสนใจและไม่ได้แคร์กับข่าวลือใส่ร้าย เพราะการใส่ร้ายป้ายสีมันเกิดขึ้นมาโดยตลอดอย่างไร้เหตุผล ไร้ข้อเท็จจริง เพราะสุดท้ายเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเอง และคุณสนธิยังเคยได้ฝากข้อความว่าหากสู้ขนาดเอาชีวิตและทรัพย์สินครอบครัวเข้าแลกเช่นนี้แล้ว ใครยังเชื่อว่าสนธิ ลิ้มทองกุลรับเงินทักษิณ ก็ไม่ต้องมาคบหาสมาคมด้วย ก็แค่นั้น

แต่ความจริงวาทะกรรมที่พูดลอยๆว่า “สนธิรับเงินทักษิณ” ก็คงจะดำรงอยู่ต่อไป เพราะในด้านหนึ่งมีพรรคการเมืองบางพรรคต้องการใช้กระแสนี้กดดันให้พันธมิตรฯออกมาชุมนุมเพื่อพรรคของตัวเองจะได้เข้าไปมีอำนาจ โกงกินและ กอบโกยผลประโยชน์เหมือนเดิม

เพียงแค่อยากจะบอกคนที่คิดเช่นนั้นด้วยความปรารถนาดีสำหรับวาทะกรรมที่พยายามป้ายสีเช่นนั้นว่า “มันไม่มีทางสำเร็จ” ที่จะตีกินหรือชุบมือเปิบด้วยวาทะกรรมตื้นๆแบบนี้ได้เลย

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงนับเป็นตรรกะที่แปลกประหลาดอยู่มากเพราะถ้าจะดูถูกว่าพันธมิตรฯมีคนน้อยและเสื่อมแล้ว เหตุใดคนที่อ้างว่ามีจำนวนมากอย่างมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์ที่มักจะเป็นฝ่ายที่ดูถูกดูแคลนพันธมิตรฯ ทำไมจึงไม่ออกมาชุมนุมเคลื่อนไหวกันเอง?

ทำไมคนที่มีศักยภาพทั้งหลายที่สนับสนุนประชาธิปัตย์จึงไม่ออกมาเป็นแกนนำแบบ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง กันเอาเอง?


แล้วเหตุใดที่ว่าพันธมิตรฯมีมวลชนน้อย ในขณะที่มวลชนของพรรคประชาธิปัตย์จึงมีผู้เลือกถึง 11- 12 ล้านคน จึงได้ออกมาไม่มากในแต่ละครั้ง?

เพราะถ้าคิดกันว่าคนส่วนใหญ่ยอมรับระบบรัฐสภาที่เป็นอยู่ด้วยการเลือกพรรคการเมืองที่ตัวเองชื่นชอบ ก็แปลว่าต้องเชื่อมั่นและยอมรับระบบรัฐสภาตั้งแต่ตอนของการเลือกตั้ง แล้วเหตุใดจะมาคะยั้นคะยอให้พันธมิตรฯออกไปชุมนุมด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า ไม่พอใจผลของการเลือกตั้ง ได้อย่างไร?

ถ้ายังจำกันไม่ได้ ก็ลองไปทบทวนคำปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ในการเดินทางเป็นประธานเปิดสำนักงานเทศบาลตำบลกำเนิดนพคุณ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์โดยได้พูดความตอนหนึ่งว่า:

“พรรคประชาธิปัตย์จะไม่จัดมวลชนออกมาคัดค้านหรือขับไล่รัฐบาลเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์เคยถูกกระทำในตอนที่ผมมารับหน้าที่นายกรัฐมนตรีในระยะแรก อะไรที่ดีก็จะให้การสนับสนุนและตรวจสอบเรื่องที่มีปัญหา พรรคจะต่อสู้ในแนวทางของระบอบประชาธิปไตยและยึดมั่นในหลักการทำงานของระบบรัฐสภาเพราะผมไม่ต้องการเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้อีก”

เพราะฉะนั้นคนที่กล่าวหาว่าทำไมพันธมิตรฯไม่ร่วมมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็น่าจะถามกลับไปมากกว่าว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมมือกับพันธมิตรฯในการปฏิรูปการเมืองในประเทศไทย

เพราะคำพูดที่ปรากฏก็แสดงให้เห็นว่าคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคประชาธิปัตย์ย่อมต้องควรรับผิดชอบต่อกรณีที่รณรงค์ให้ประชาชนเลือกพรรคตัวเองแล้วทำให้ประชาชนหลงเข้าใจว่าปัญหาของประเทศชาติแก้ได้ด้วย “ระบบรัฐสภา” จริงหรือไม่?

ความจริงแล้วพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพร้อมเสมอสำหรับกลุ่มคน พรรคการเมือง หรือทหารที่มีความจริงใจในการที่จะปฏิรูปการเมืองเพื่อประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

หากประชาธิปัตย์ประกาศขอโทษในความผิดในอดีตที่โกงกินเพื่อเอาใจกลุ่มทุนของพรรค ขอโทษที่ต้องตระบัดสัตย์เพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล แสดงความจริงใจว่าไม่ต้องการสลับขั้วเพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองในระบบที่ล้มเหลวเช่นนี้ ด้วยการประกาศลาออกจากระบบเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เป็นอยู่มายืนหยัดเคลื่อนไหวเป็นแนวหน้าปฏิรูปประเทศไทยนอกรัฐสภาร่วมกับประชาชน ก็เชื่อได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

เพียงแต่ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากถ้าไม่หลุดกรอบและมีความจริงใจที่จะทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง !!!

กำลังโหลดความคิดเห็น