ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี - อบจ.ปทุมธานี กลายเป็นปรากฏการณ์การเมืองที่สำคัญยิ่งขึ้นมาทันที เมื่อว่าที่ ร.ต.สุเมธ ฤทธาคนี ซึ่งเป็นญาติกับผู้เขียนทางคุณปู่ของเราทั้งสองเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ไม่ได้สนิทกันมากนัก นอกจากเจอกันในงานของวงศ์ตระกูลก็ทักทายกันตามวิสัยของเครือญาติตระกูลเดียวกัน
แต่เราไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การเมืองกัน เพราะความในใจนั้นรู้กันอยู่แล้ว ความต่างความคิดอ่านทางการเมือง ความขัดแย้งกันทางทัศนคติต่อทักษิณต่างกัน แต่ไม่ได้นำสู่ความขัดแย้งทางอารมณ์ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนต่อต้านแผนสร้างภาพปรองดองของทักษิณ พรรคเพื่อไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่พยายามจะผลักดันให้เป็นตัวบทกฎหมาย หวังที่จะสร้างกลไกให้เกิดกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อประโยชน์ของทักษิณเอง
การพ่ายแพ้การเลือกตั้งของ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ นั้น กลายเป็นดัชนีบ่งชี้พิษการโกหกมดเท็จของทักษิณ พรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีหญิง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกฤทธิ์เพราะพ่ายแพ้ต่างกันเป็นแสนคะแนน เป็นความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยอย่างถล่มทลาย
การที่ทักษิณและลูกชาย ประกาศด่าถล่มซ้ำเติมลูกพรรคของตัวเองผ่านสื่อสู่สาธารณชน เพื่อให้เห็นว่าเป็นความผิดของ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ นั้น ทำให้พิสูจน์ให้เห็นถึงธาตุแท้ของทักษิณ ว่าเป็นบุคคลที่ขาดพรหมวิหาร 4 อย่างสิ้นเชิง การออกอารมณ์ที่พรั่งพร้อมด้วยโทสะจริตเต็มกำลังโกรธ แสดงให้เห็นถึงความไร้ภาวะผู้นำและการขาดคุณธรรม เพราะก่อนหน้าก็มีคนของพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้มาแล้ว แต่ทักษิณไม่ได้ออกอารมณ์รุนแรงลักษณะนี้ จึงเกิดปุจฉาว่าทำไมจึงเกิดกับ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ
คำตอบคือ นโยบายประชานิยมสามานย์ของทักษิณและพรรคเพื่อไทย กำลังไหลลงสู่ความต่ำต้อย เพราะประชาชนคนปทุมธานีได้เห็นฤทธิ์ของพิษการโกหก เช่น เรื่องการขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน ซึ่งล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะว่าไม่มีผู้ประกอบการใดๆ ให้ความร่วมมือ เพราะพวกเขาปิดโรงงานในประเทศดีกว่า แล้วยอมลงทุนใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ซึ่งค่าแรงถูกกว่า ซึ่งให้การต้อนรับอยู่แล้ว ส่วนเรื่องค่าตอบแทนเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับบัณฑิตจบใหม่นั้น ประกาศขณะหาเสียงว่าจะให้มีเพดานขั้นต่ำที่ 15,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีหญิงของพรรคเพื่อไทยประกาศว่า จะต้องเลื่อนออกไปจนเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าจึงเป็นการโกหกชัดๆ
และเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ก็ประกาศพักหนี้เกษตรกรและชาวนา ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะไม่ล้มเหลว จึงกลายเป็นเรื่อง “รอดูผล” เพราะว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารกรุงไทย อันเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นรู้ดีว่าภัยเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ เพราะว่ากำลังเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงเมื่อมะนาวลูกละ 8-9 บาทแล้ว ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็ขึ้นเป็นลำดับ ทั้งๆ ที่โลกตะวันตกกำลังเข้าสู่หน้าร้อน การใช้พลังงานทำความอบอุ่นลดน้อยลง แต่วิกฤตการเมืองระหว่างประเทศตะวันตกกับอิหร่านร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับ ประกาสิตของประธานาธิบดีโอบามาให้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับทุกชาติที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับอิหร่าน ประเทศไทยก็ซวยไปด้วยเมื่อพลังซื้อลดน้อยถอยลงเพราะขายข้าวให้อิหร่านไม่ได้แล้ว วันที่ 26 เมษายนนี้ คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าก้าวหน้า โดยอ้างว่ามีคนใช้ไฟฟ้ามากเพราะอากาศร้อน อะไรจะเป็นทุกข์ของคนไทยได้ถึงปานนี้
นี่เป็นส่วนหนึ่งของภัยเศรษฐกิจที่คนไทยทั้งชาติกำลังเผชิญอยู่ แต่รัฐบาลนี้กลับมุ่งมั่นที่จะให้ได้เป้าประสงค์ในการเข้าบริหารประเทศ คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างเด็ดขาดและสร้างกลไกทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ที่จะให้มีกฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณ ซึ่งการเยียวยาเสื้อแดงโหดกับเงินทดแทนถึง 7.75 ล้านบาทต่อราย เป็นกลไกหนึ่งในบริบทการบัญญัติกฎหมายนิรโทษกรรม
การพ่ายแพ้ของ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงธาตุแท้ของทักษิณ ในเรื่องความเป็นเผด็จการของเขา เมื่อบริภาษ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ อย่างรุนแรง ว่าเป็นบุคคลที่ออกนอกแถวและขัดคำสั่ง ทั้งยังประกาสิตมิให้พรรคเพื่อไทยอนุญาตให้ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ลงเลือกตั้งที่ใดอีก รวมทั้งการขู่บังคับว่า “ห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์พ่ายแพ้เช่นนี้อีก” ตรงนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ กกต.ทุกระดับจะต้องเฝ้าดูพฤติกรรมการเลือกตั้งซ่อมทุกเขตอย่างเข้มงวด ใกล้ชิด และจริงจังตามกฎหมายเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ปทุมธานี เป็นบทพิสูจน์ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าทักษิณเป็นนายทุนพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง และเป็นผู้มีอำนาจเหนือพรรคหรือผู้บริหารทุกคน จึงสรุปอย่างชัดเจนว่าคนไทยมีนายกรัฐมนตรีหญิงที่เป็นหุ่นเชิดจริงๆ แต่มีนายกรัฐมนตรีนอกประเทศ ที่เป็นนักโทษที่ทำผิดกฎหมายที่มีไว้สำหรับนักการเมืองโดยเฉพาะ
กฎหมายเอาผิดนักการเมืองที่คดโกงทุจริตบ้านเมืองนั้น เป็นกฎหมายเฉพาะนักการเมืองเท่านั้น เช่นเดียวกับกฎหมายทำแท้ง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับสตรีที่ไม่ปรารถนาที่จะมีลูกแล้วไปทำแท้งกับทั้งหมอเถื่อนและไม่เถื่อนเท่านั้น นอกจากนี้ไม่มีใครเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น
นิติราษฎร์ก็ฉวยโอกาสนี้สำแดงเดชอนาธิปไตยนิยม เพื่อสร้างเหตุการณ์เบี่ยงเบนในสังคม ด้วยการออกแถลงการณ์ต้านการปรองดองแต่ให้เอาเรื่องทางกฎหมายกับทหารที่ก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และยังยืนยันต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยว่าเป็นปัญหาทางสังคม ทั้งๆ ที่กฎหมายฉบับนี้มีไว้ป้องกันความขัดแย้งรุนแรงในสังคมต่างหาก เพราะคนไทยทั้งชาติยกเว้นพวกอนาธิปไตยจะต่อต้านตอบโต้การล่วงละเมิดพระราชอำนาจอย่างหนักแน่นจริงจังทุกมิติ
นิติราษฎร์มองว่าการสลายม็อบในวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2553 นั้นทหารกระทำการรุนแรง แต่นิติราษฎร์ไม่ได้พูดถึงการใช้อาวุธ การยิงระเบิด การลอบยิงประชาชน และการเผาบ้านเผาเมืองของคนโหดเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อยโดยเฉพาะการถล่มทหารที่สี่แยกคอกวัวสังหารพล.อ.ร่มเกล้า พร้อมกับทหารอีกสี่คน บาดเจ็บอีกเพียบ
ทหารอาชีพส่วนใหญ่เป็นสถาบันที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเสียสละชีวิตเพื่อชาติ มีหน้าที่และความบริสุทธิ์ใจในการปกป้องเอกราช อธิปไตย และให้เกิดความสุขสันติของประชาชนในชาติ แต่หากนักการเมืองขาดคุณธรรม ไร้อารยะทางการเมืองมุ่งหวังกอบโกยผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติแล้ว ทหารเองก็ต้องปกป้องสิทธิของคนในชาติด้วยธรรมะและความถูกต้องด้วยการรัฐประหาร ซึ่งมันก็เป็นหนทางหนึ่งทางรัฐศาสตร์ในการแก้ไขวิกฤตการเมืองอุบาทว์ร้ายแรงนำสู่หายนะของชาติ เมื่อนักการเมือง ฝ่ายบริหาร และสภาผู้แทนราษฎรขาดจริยธรรม ขาดความชอบธรรม และมีพฤติกรรมทำลายความดีงามของสังคม ยกเว้นแต่ว่าอารยะทางการเมือง นักการเมืองมีมารยาททางการเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทยรัฐประหารก็หายไปด้วย แต่ขณะนี้การรูดบัตรแสดงตนแทนกันยังเป็นเรื่องที่กระทำได้ปกติ แล้วอะไรคือมาตรฐานอารยะทางการเมืองของไทย
การออกมาประกาศเอาความผิดทหารของนิติราษฎรนั้น เป็นการข่มขู่ทหารไม่ให้คิดการเพื่อชาติบ้านเมือง อันเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มอนาธิปไตยนิยม ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789-99 และปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 ที่กลุ่มอนาธิปไตยทำลายสถาบันทหารด้วยการให้ร้ายทหาร ยุยงให้ประชาชนทำร้ายทหาร และเมื่อทหารโต้ตอบก็กลายเป็นติดกับแผนของอนาธิปไตยนิยม
ผู้เขียนไม่ได้ชื่นชอบการรัฐประหาร แต่มันก็เป็นรัฐศาสตร์บทสุดท้ายที่สามารถพลิกผันสถานการณ์เลวร้ายของการเมือง เพราะเผด็จการรัฐสภานั้นยากที่จะสลายตัวเอง กลับสร้างเกราะคุ้มกันอำนาจตัวเอง ปกป้องอำนาจตัวเอง และในยามนั้นทหารเองก็จะกลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการรัฐสภาอย่างช่วยไม่ได้ หากจะเปลี่ยนแปลงได้อีกก็กลายเป็นสงครามกลางเมือง เช่น สงครามกลางเมืองในสเปน ค.ศ. 1936-39 ยุคอนาธิปไตยครองเมือง
ปรากฏการณ์ปทุมธานีจึงเป็นสิ่งบอกเหตุและข้อพิสูจน์ตัวตนของทักษิณ พรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง รัฐบาลนี้ และประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานี
แต่เราไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์การเมืองกัน เพราะความในใจนั้นรู้กันอยู่แล้ว ความต่างความคิดอ่านทางการเมือง ความขัดแย้งกันทางทัศนคติต่อทักษิณต่างกัน แต่ไม่ได้นำสู่ความขัดแย้งทางอารมณ์ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนต่อต้านแผนสร้างภาพปรองดองของทักษิณ พรรคเพื่อไทย และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่พยายามจะผลักดันให้เป็นตัวบทกฎหมาย หวังที่จะสร้างกลไกให้เกิดกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อประโยชน์ของทักษิณเอง
การพ่ายแพ้การเลือกตั้งของ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ นั้น กลายเป็นดัชนีบ่งชี้พิษการโกหกมดเท็จของทักษิณ พรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีหญิง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกฤทธิ์เพราะพ่ายแพ้ต่างกันเป็นแสนคะแนน เป็นความพ่ายแพ้ของพรรคเพื่อไทยอย่างถล่มทลาย
การที่ทักษิณและลูกชาย ประกาศด่าถล่มซ้ำเติมลูกพรรคของตัวเองผ่านสื่อสู่สาธารณชน เพื่อให้เห็นว่าเป็นความผิดของ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ นั้น ทำให้พิสูจน์ให้เห็นถึงธาตุแท้ของทักษิณ ว่าเป็นบุคคลที่ขาดพรหมวิหาร 4 อย่างสิ้นเชิง การออกอารมณ์ที่พรั่งพร้อมด้วยโทสะจริตเต็มกำลังโกรธ แสดงให้เห็นถึงความไร้ภาวะผู้นำและการขาดคุณธรรม เพราะก่อนหน้าก็มีคนของพรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้มาแล้ว แต่ทักษิณไม่ได้ออกอารมณ์รุนแรงลักษณะนี้ จึงเกิดปุจฉาว่าทำไมจึงเกิดกับ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ
คำตอบคือ นโยบายประชานิยมสามานย์ของทักษิณและพรรคเพื่อไทย กำลังไหลลงสู่ความต่ำต้อย เพราะประชาชนคนปทุมธานีได้เห็นฤทธิ์ของพิษการโกหก เช่น เรื่องการขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน ซึ่งล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะว่าไม่มีผู้ประกอบการใดๆ ให้ความร่วมมือ เพราะพวกเขาปิดโรงงานในประเทศดีกว่า แล้วยอมลงทุนใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ซึ่งค่าแรงถูกกว่า ซึ่งให้การต้อนรับอยู่แล้ว ส่วนเรื่องค่าตอบแทนเงินเดือนขั้นต่ำสำหรับบัณฑิตจบใหม่นั้น ประกาศขณะหาเสียงว่าจะให้มีเพดานขั้นต่ำที่ 15,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อเร็วๆ นี้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีหญิงของพรรคเพื่อไทยประกาศว่า จะต้องเลื่อนออกไปจนเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 หรืออีก 2 ปีข้างหน้าจึงเป็นการโกหกชัดๆ
และเมื่อต้นสัปดาห์นี้เอง ก็ประกาศพักหนี้เกษตรกรและชาวนา ซึ่งรัฐบาลคาดหวังว่าจะไม่ล้มเหลว จึงกลายเป็นเรื่อง “รอดูผล” เพราะว่าธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารกรุงไทย อันเป็นรัฐวิสาหกิจนั้นรู้ดีว่าภัยเศรษฐกิจกำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ เพราะว่ากำลังเกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงเมื่อมะนาวลูกละ 8-9 บาทแล้ว ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็ขึ้นเป็นลำดับ ทั้งๆ ที่โลกตะวันตกกำลังเข้าสู่หน้าร้อน การใช้พลังงานทำความอบอุ่นลดน้อยลง แต่วิกฤตการเมืองระหว่างประเทศตะวันตกกับอิหร่านร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับ ประกาสิตของประธานาธิบดีโอบามาให้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับทุกชาติที่มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับอิหร่าน ประเทศไทยก็ซวยไปด้วยเมื่อพลังซื้อลดน้อยถอยลงเพราะขายข้าวให้อิหร่านไม่ได้แล้ว วันที่ 26 เมษายนนี้ คณะกรรมการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ประกาศขึ้นค่าไฟฟ้าก้าวหน้า โดยอ้างว่ามีคนใช้ไฟฟ้ามากเพราะอากาศร้อน อะไรจะเป็นทุกข์ของคนไทยได้ถึงปานนี้
นี่เป็นส่วนหนึ่งของภัยเศรษฐกิจที่คนไทยทั้งชาติกำลังเผชิญอยู่ แต่รัฐบาลนี้กลับมุ่งมั่นที่จะให้ได้เป้าประสงค์ในการเข้าบริหารประเทศ คือ แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างเด็ดขาดและสร้างกลไกทั้งทางพฤตินัยและนิตินัย ที่จะให้มีกฎหมายนิรโทษกรรมทักษิณ ซึ่งการเยียวยาเสื้อแดงโหดกับเงินทดแทนถึง 7.75 ล้านบาทต่อราย เป็นกลไกหนึ่งในบริบทการบัญญัติกฎหมายนิรโทษกรรม
การพ่ายแพ้ของ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ยังพิสูจน์ให้เห็นถึงธาตุแท้ของทักษิณ ในเรื่องความเป็นเผด็จการของเขา เมื่อบริภาษ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ อย่างรุนแรง ว่าเป็นบุคคลที่ออกนอกแถวและขัดคำสั่ง ทั้งยังประกาสิตมิให้พรรคเพื่อไทยอนุญาตให้ ว่าที่ ร.ต.สุเมธ ลงเลือกตั้งที่ใดอีก รวมทั้งการขู่บังคับว่า “ห้ามไม่ให้เกิดเหตุการณ์พ่ายแพ้เช่นนี้อีก” ตรงนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่ กกต.ทุกระดับจะต้องเฝ้าดูพฤติกรรมการเลือกตั้งซ่อมทุกเขตอย่างเข้มงวด ใกล้ชิด และจริงจังตามกฎหมายเลือกตั้ง
นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ปทุมธานี เป็นบทพิสูจน์ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าทักษิณเป็นนายทุนพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหน้าพรรคตัวจริง และเป็นผู้มีอำนาจเหนือพรรคหรือผู้บริหารทุกคน จึงสรุปอย่างชัดเจนว่าคนไทยมีนายกรัฐมนตรีหญิงที่เป็นหุ่นเชิดจริงๆ แต่มีนายกรัฐมนตรีนอกประเทศ ที่เป็นนักโทษที่ทำผิดกฎหมายที่มีไว้สำหรับนักการเมืองโดยเฉพาะ
กฎหมายเอาผิดนักการเมืองที่คดโกงทุจริตบ้านเมืองนั้น เป็นกฎหมายเฉพาะนักการเมืองเท่านั้น เช่นเดียวกับกฎหมายทำแท้ง ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับสตรีที่ไม่ปรารถนาที่จะมีลูกแล้วไปทำแท้งกับทั้งหมอเถื่อนและไม่เถื่อนเท่านั้น นอกจากนี้ไม่มีใครเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น
นิติราษฎร์ก็ฉวยโอกาสนี้สำแดงเดชอนาธิปไตยนิยม เพื่อสร้างเหตุการณ์เบี่ยงเบนในสังคม ด้วยการออกแถลงการณ์ต้านการปรองดองแต่ให้เอาเรื่องทางกฎหมายกับทหารที่ก่อรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และยังยืนยันต่อต้านประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยว่าเป็นปัญหาทางสังคม ทั้งๆ ที่กฎหมายฉบับนี้มีไว้ป้องกันความขัดแย้งรุนแรงในสังคมต่างหาก เพราะคนไทยทั้งชาติยกเว้นพวกอนาธิปไตยจะต่อต้านตอบโต้การล่วงละเมิดพระราชอำนาจอย่างหนักแน่นจริงจังทุกมิติ
นิติราษฎร์มองว่าการสลายม็อบในวันที่ 19-21 พฤษภาคม 2553 นั้นทหารกระทำการรุนแรง แต่นิติราษฎร์ไม่ได้พูดถึงการใช้อาวุธ การยิงระเบิด การลอบยิงประชาชน และการเผาบ้านเผาเมืองของคนโหดเสื้อแดงเลยแม้แต่น้อยโดยเฉพาะการถล่มทหารที่สี่แยกคอกวัวสังหารพล.อ.ร่มเกล้า พร้อมกับทหารอีกสี่คน บาดเจ็บอีกเพียบ
ทหารอาชีพส่วนใหญ่เป็นสถาบันที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การเสียสละชีวิตเพื่อชาติ มีหน้าที่และความบริสุทธิ์ใจในการปกป้องเอกราช อธิปไตย และให้เกิดความสุขสันติของประชาชนในชาติ แต่หากนักการเมืองขาดคุณธรรม ไร้อารยะทางการเมืองมุ่งหวังกอบโกยผลประโยชน์ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติแล้ว ทหารเองก็ต้องปกป้องสิทธิของคนในชาติด้วยธรรมะและความถูกต้องด้วยการรัฐประหาร ซึ่งมันก็เป็นหนทางหนึ่งทางรัฐศาสตร์ในการแก้ไขวิกฤตการเมืองอุบาทว์ร้ายแรงนำสู่หายนะของชาติ เมื่อนักการเมือง ฝ่ายบริหาร และสภาผู้แทนราษฎรขาดจริยธรรม ขาดความชอบธรรม และมีพฤติกรรมทำลายความดีงามของสังคม ยกเว้นแต่ว่าอารยะทางการเมือง นักการเมืองมีมารยาททางการเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทยรัฐประหารก็หายไปด้วย แต่ขณะนี้การรูดบัตรแสดงตนแทนกันยังเป็นเรื่องที่กระทำได้ปกติ แล้วอะไรคือมาตรฐานอารยะทางการเมืองของไทย
การออกมาประกาศเอาความผิดทหารของนิติราษฎรนั้น เป็นการข่มขู่ทหารไม่ให้คิดการเพื่อชาติบ้านเมือง อันเป็นเป้าหมายหลักของกลุ่มอนาธิปไตยนิยม ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วตั้งแต่ปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789-99 และปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1917 ที่กลุ่มอนาธิปไตยทำลายสถาบันทหารด้วยการให้ร้ายทหาร ยุยงให้ประชาชนทำร้ายทหาร และเมื่อทหารโต้ตอบก็กลายเป็นติดกับแผนของอนาธิปไตยนิยม
ผู้เขียนไม่ได้ชื่นชอบการรัฐประหาร แต่มันก็เป็นรัฐศาสตร์บทสุดท้ายที่สามารถพลิกผันสถานการณ์เลวร้ายของการเมือง เพราะเผด็จการรัฐสภานั้นยากที่จะสลายตัวเอง กลับสร้างเกราะคุ้มกันอำนาจตัวเอง ปกป้องอำนาจตัวเอง และในยามนั้นทหารเองก็จะกลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการรัฐสภาอย่างช่วยไม่ได้ หากจะเปลี่ยนแปลงได้อีกก็กลายเป็นสงครามกลางเมือง เช่น สงครามกลางเมืองในสเปน ค.ศ. 1936-39 ยุคอนาธิปไตยครองเมือง
ปรากฏการณ์ปทุมธานีจึงเป็นสิ่งบอกเหตุและข้อพิสูจน์ตัวตนของทักษิณ พรรคเพื่อไทย คนเสื้อแดง รัฐบาลนี้ และประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานี