ม.หอการค้าฯ ยอมรับ “ค่ารถ-ค่าไฟ” ปรับขึ้นราคา กระทบ “ค่าครองชีพ-กำลังซื้อ” แนะรัฐใส่เงินในกระเป๋า ปชช. โดยด่วนที่สุด พร้อมหามาตรการใหม่ เพื่อช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ เชื่อ ศก. ที่กำลังฟื้นตัว เดินหน้าต่อไปได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงความกังวลกรณีค่าครองชีพที่กำลังปรับตัวสูงขึ้นจากการปรับขึ้นของต้นทุนสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) เพิ่มอีก 30 สตางค์ต่อหน่วย การปรับขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะ โดยยอมรับว่า กลุ่มประชาชนผู้ใช้รถโดยสารจะได้รับผลกระทบ ส่วนปรับขึ้นค่าไฟเป็นการปรับตามปกติทุกรอบ 4 เดือน จึงอาจกระทบไม่มากนัก
ส่วนผลกระทบค่าครองชีพด้านอื่น มองว่า หากรัฐบาลเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลกลับมาอยู่ในอัตราปกติที่ 5.30 บาทต่อลิตร จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ที่ 0.005 บาทต่อลิตร อาจทำให้รถโดยสารสาธารณะประเภทอื่นปรับขึ้นราคาตามด้วย ทั้งรถเมล์ และรถแท็กซี่
“ต้องยอมรับว่า ภาระค่าครองชีพของประชาชนจะสูงขึ้นจริง ในแง่ของสินค้าบางตัว แต่ถ้ามองอัตราเงินเฟ้อที่กระทรวงพาณิชย์ทำดัชนีราคาผู้บริโภค ยังอยู่ที่ประมาณ 3.4-3.5% ถือว่ายังไม่สูงมากนัก”
นายธนวรรธน์ ระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท และภาวะเศรษฐกิจที่กำลังดีขึ้น เชื่อว่าประชาชนยังอยู่ในระดับที่พอปรับตัวได้ ส่วนภาคอุตสาหกรรมนั้น ต้องยอมรับว่า ผู้ประกอบการทราบอยู่แล้ว ไม่น่ามีผลกระทบรุนแรง ถือว่าปรับตัวได้ แต่หากค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นค่าแรง เช่น การขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และเชื้อเพลิงธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) อาจกระทบให้ต้นทุนเพิ่ม ส่งผลให้ผู้ประกอบการปรับขึ้นราคาสินค้าได้
ดังนั้น การแก้ไขปัญหาและผลกระทบที่เกินขึ้นในตอนนี้ รัฐบาลต้องพยายามทำให้เศรษฐกิจขยายตัว พร้อมกับเร่งกระจายเม็ดเงินเข้าสู่กระเป๋าประชาชนโดยเร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ และความเชื่อมั่นด้านการบริโภคไม่ให้หยุดชะงัก
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องหามาตรการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการ ทั้งในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว เช่น การปรับปรุงกฎระเบียบของภาครัฐ ที่สร้างภาระให้ผู้ประกอบการ หรือค่าใช้จ่ายบางอย่างที่สูง เช่น ค่าไฟ จะหาแหล่งพลังงานที่มีราคาถูกลงได้หรือไม่ หรือสนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือก หรือฝึกฝีมือแรงงาน ให้แรงงานมีคุณภาพมากขึ้น
