xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ม็อบอำมาตย์ กับดักล่อพันธมิตร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ผลพวงของการประกาศศักดาด้วยการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) และราชอาณาจักรกัมพูชา ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ประมุขสูงสุดของรัฐไทยใหม่ ได้ทำให้ “ฝ่ายอำมาตย์” มิอาจนิ่งเฉยเลยผ่านได้อีกต่อไป เนื่องเพราะตระหนักรู้ถึงเป้าประสงค์ของ นช.ทักษิณชัดเจนยิ่งว่า เขามีเป้าหมายและยุทธวิธีในการเดินทางกลับคืนสู่ประเทศไทยในรูปแบบใดบ้าง

นช.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ยุติธรรม และจำเป็นที่จะต้องจัดจารีตเสียใหม่ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ

นช.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า ถ้าหากเขาจะกลับประเทศไทย เขาจะต้องกลับอย่างเท่ๆ ใส่สูทผูกไทและเดินลงจากเครื่องบินด้วยความสง่างาม ซึ่งนั่นหมายความว่า ระบบนิติรัฐจะถูกทำลายให้ย่อยยับและนช.ทักษิณต้องการมี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” ซึ่งกฎหมายไทยมิอาจแตะต้องได้

นช.ทักษิณประกาศชัดเจนว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในประเทศไทยคือการออก พ.ร.บ.ปรองดอง ตามต่อด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

และนช.ทักษิณแสดงให้เห็นชัดเจนว่า กลุ่มคนเสื้อแดงคือกองทัพส่วนตัวที่พร้อมจะปฏิบัติการในทุกรูปแบบเพื่อปกป้องประมุขแห่งรัฐของตนเอง

ด้วยเหตุดังกล่าว ฝ่ายอำมาตย์จึงจำเป็นต้องจัดทัพและเตรียมรับมือการกรีฑาทัพของคนเสื้อแดง และหนึ่งในนั้นก็คือ การปลุกระดมมวลชนผู้มีความสวามิภักดิ์ให้ออกมาแสดงแสนยานุภาพให้ฝ่ายไพร่ได้เห็นว่า ฝ่ายอำมาตย์ก็มีกองกำลังที่พร้อมจะต่อสู้ในทุกรูปแบบเช่นกัน

ทั้งนี้ การเตรียมรับมือของฝ่ายอำมาตย์ที่ชัดเจนยิ่งก็คือ การประกาศชุมนุมใหญ่ที่เกิดขึ้นในวันที่ 21 เมษายน 2555 นี้ ณ สโมสรกองทัพบก ตั้งแต่เวลา 09.00-19.59 น.โดยใช้ชื่อว่า “ประชุมรัฐสภามหาชน เรียกคืนอำนาจจากนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน”

แน่นอน การชุมนุมครั้งนี้สามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็น “ม็อบอำมาตย์” เพราะ “ม็อบภาคประชาชน” ที่มี “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เป็นแกนนำมีความชัดเจนแล้วว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับม็อบอำมาตย์ในครั้งนี้ เหมือนดังเช่นที่แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งนำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นางมาลีรัตน์ แก้วก่า นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ และ พล.ร.ต.ประทีป ชื่นอารมณ์ ได้จัดให้มีการแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา

“จากกรณีที่มีการนัดชุมนุมในวันที่ 21 เม.ย.นั้น ขอชี้แจงว่าแกนนำพันธมิตรฯ ไม่ได้เข้าร่วม และไม่ได้เรียกร้องให้มีการชุมนุมดังกล่าว”พล.ต.จำลองประกาศยืนยันว่า การชุมนุมครั้งนี้ม็อบภาคประชาชนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับม็อบอำมาตย์แต่ประการใด

ส่วนเหตุผลที่ม็อบประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เข้าร่วมในการชุมนุมครั้งนี้นั้น คำตอบน่าจะอยู่ที่นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีการเผยแพร่ข้อมูลเอาไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยในเฟซบุ๊กของนายปานเทพนั้นได้มีการทำแบบสอบถามในหัวข้อ “คุณคิดว่าสถานการณ์ปัจจุบันพันธมิตรฯ ควรจัดชุมนุมหรือไม่” ซึ่งเมื่อเวลา 17.20 น.ของวันที่ 17 เมษายน 2555 มีผู้มาแสดงความคิดเห็นจำนวน 538 คน และปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่คือ 352 คนหรือร้อยละ 65.43 เห็นว่าไม่ควร เพราะสถานการณ์ยังไม่สุกงอม

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมถึงมีความพยายามจะลากเอาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการชุมนุมครั้งนี้

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ใครคือแก่นแกนของม็อบอำมาตย์ในครั้งนี้บ้าง เพราะเจตนาที่คนกลุ่มนี้ในการสื่อสารให้กับสังคมรับทราบก็คือ พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกองทัพด้วยการประกาศจัดม็อบขึ้นที่สโมสรกองทัพบก ซึ่งต้องถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาที่การชุมนุมทางการเมืองถูกจัดขึ้นในพื้นที่ทหาร

จากการตรวจสอบรายชื่อตามที่ปรากฏเป็นข่าวพบว่า หนึ่งในแกนนำคนสำคัญก็คือ “นายบวร ยสินทร” อดีตคนเดือนตุลาและแกนนำเครือข่ายราษฎรอาสาปกป้องสถาบัน นายพายัพ ยังปักษี ที่อ้างตัวว่ามาในฐานะสมาพันธ์พลเมืองฐานราก(สพฐ) นายรัฐเขต แจ้งจำรัส ตัวแทนกลุ่มองค์กรโอนอำนาจทรัพยากรใต้ดินเพื่อสร้างสรรค์การปรองดองแห่งชาติ (อททช.)

นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวจากเว็บไซต์มติชนออนไลน์อ้างว่าได้รับการเปิดเผยจากนายชุมพล ลีลานนท์ ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดพะเยา และผู้ประสานงานพันธมิตรฯ 17 จังหวัดภาคเหนือว่า กลุ่มพันธมิตรฯทั่วประเทศจะรวมตัวกันทำกิจกรรม ณ สโมสรทหารบกโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคัดค้านและต่อต้านรัฐบาลในการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยใช้เสียงข้างมากของรัฐสภาเป็นกลไกในการดำเนินการและไม่เปิดกว้างให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วม

ทว่า แกนนำครั้งนี้มิได้มีแต่นายบวรเท่านั้น หากแต่ยังมีบุคคลสำคัญรายอื่นๆ เข้าร่วมด้วยอีกหลายต่อหลายคนด้วยกัน โดยแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีเบื้องหลังและสายสัมพันธ์ในระดับที่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

ที่สำคัญคือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นกลุ่มอำนาจเก่าและจัดเป็นกลุ่มขุมพลังของฝ่ายอำมาตย์ที่สำคัญได้มีการปรับทัพ ปรับองค์กรกันอย่างขนานใหญ่เช่นกัน โดยเฉพาะทางด้านสื่อที่ทุ่มทุนเปิด “บลูสกายแชนแนล” เพื่อเป็นกระบอกเสียงของพรรคเลียนแบบสื่อของลัทธิเสื้อแดง และไม่นับรวมถึงสื่อพันธมิตรที่หลายคนรับรู้ว่าได้รับทุนสนับสนุนจากฝ่ายอำมาตย์อย่าง “ทีนิวส์”

เรียกว่า ขยายฐานกำลังออกไปกันอย่างขนานใหญ่ทีเดียว

ที่เด็ดเสียยิ่งกว่าคือ เมื่อตรวจสอบรายชื่อแกนนำของม็อบอำมาตย์ลึกลงไปก็พบว่า มีความเกี่ยวพันกับ “บ้านสี่เสาเทเวศร์” อย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะเป็นที่ชัดแจ้งว่า ผู้ที่ยืนทะมึนอยู่เบื้องหลังหรือออกแบบการเคลื่อนไหวของม็อบอำมาตย์ในครั้งนี้ ประกอบด้วย พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นต้น

เห็นรายชื่อข้างต้นแล้ว คงไม่ต้องถามว่า มีความเกี่ยวข้องกับ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษที่กลุ่มคนเสื้อแดงกล่าวหาว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ของอำมาตย์ที่ตรงไหน

กล่าวสำหรับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ ชัดเสียยิ่งกว่าชัดเสียอีกเพราะนายทหารเรือผู้นี้คือหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม นอกจากนี้สิ่งที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้สองเส้นที่ใช้ชื่อพล.ร.อ.พะจุณณ์ก็คือ เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) หรือรุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกคนปัจจุบัน

ขณะที่ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ที่สวมหมวกเป็นสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย ก็มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับ พล.ร.อ.พะจุณณ์ รวมถึงอีกหนึ่งคนสำคัญที่มิอาจไม่เอ่ยถึงนั่นก็คือ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เนื่องจากเคยร่วมกิจกรรมกันหลายต่อหลายครั้ง

ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มคนเหล่านี้เคยร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณ แต่ในระยะหลังมีการแยกตัวออกไปตั้งกลุ่มต่างๆ เนื่องจากแต่ละฝ่ายต่างมีเป้าหมายในทางการเมืองที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้มีความเคลื่อนไหว สังคมตลอดรวมถึงพันธมิตรฯ จำนวนไม่น้อยจึงเข้าใจว่า เป็นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่

ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า การเคลื่อนไหวในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ทรงพลังเพียงใด ต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งหลายต่อหลายครั้งก็ได้รับการพิสูจน์เช่นกันว่า มิได้มีมวลชนเข้าร่วมมากเพียงพอที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้

“การที่พันธมิตรฯ อยู่เฉยๆ ย่อมทำให้ทุกคนตระหนักว่าพันธมิตรฯ เป็นตัวแปรที่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ อย่างการพาดหัวว่าพันธมิตรฯ จะเคลื่อนไหวเร็วๆ นี้ บางส่วนก็เพื่อต้องการทำลาย หรือบางส่วนก็เพื่อต้องการระดมพล แสดงว่าคนในแวดวงการเมืองยังเห็นว่าพันธมิตรฯเป็นตัวแปร แล้วสิ่งที่จะลดความสำคัญของแกนนำลงได้ก็คือสร้างมวลชนอื่น สร้างทีวีขึ้นมาแทน มีคนทำหลายกลุ่มแต่ไม่สำเร็จ ฉะนั้น วาทกรรมที่กล่าวหาพันธมิตรฯ รับเงินทักษิณก็เป็นเพียงแค่อุบายของฝ่ายที่อยากให้ออกไปเคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมือง

“แต่ถ้าเคลื่อนไหวอีกที เราเห็นอำนาจรัฐ เห็นกองกำลังเสื้อแดง เห็นขบวนการกินรวบประเทศไทย เดิมพันประเทศมันสูงมาก ถ้าเคลื่อนไหวประเด็นปลีกย่อย ประเด็นรายวัน ไม่ควรเป็นการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมมา 6 ปีแล้ว ซึ่งเราไม่ขัดขวางคนที่ออกมาชุมนุม แต่ต้องขอสงวนท่าทีตรงนี้ เพื่อการเคลื่อนที่มีพลัง เพื่อเป้าหมายเดียวคือการปฏิรูป”โฆษกพันธมิตรฯ อธิบายเหตุผลที่ยังไม่เคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากรายชื่อข้างต้นแล้ว เบื้องหลังม็อบอำมาตย์ในครั้งนี้ยังมีสื่อมวลชนที่พยายามลากเอาพันธมิตรฯ เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายเนชั่นและค่ายไทยโพสต์ ซึ่งทั้งบทความและเนื้อข่าวต่างก็พยายามเชื่อมโยงและยัดเยียดว่า ม็อบครั้งนี้มีพันธมิตรฯ เป็นแกนนำ

ที่สำคัญคือแม้ว่าพันธมิตรฯ จะประกาศว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับม็อบ 21 เมษายน แต่สื่อทั้งสองค่ายก็ยังคงพยายามเชื่อมโยงว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมืองมีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้มีความสงสัยว่า ทั้งสองค่ายมีสายสัมพันธ์อันใดกับม็อบอำมาตย์กลุ่มนี้หรือไม่

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บทความชื่อ “18 เมษาไม่มีสัญญาณจากหมายเลขที่ท่านเรียก” ซึ่งเขียนโดย “ศรุติ ศรุตา” ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกฉบับวันที่ 20 เมษายนระบุเอาไว้ชัดเจนว่า…”ขณะเดียวกันกลุ่มพันธมิตรจะเริ่มขยับตัวและส่งสัญญาณออกมาเช่นกันว่า เอาแน่ โดยปล่อยข่าวออกมาว่าใช้สโมสรกองทัพบกที่อยู่ติดกับบ้านสี่เสาฯ เป็นสถานที่พบปะวางแผน หนนี้ พล.ต.จำลอง ศรีเมืองคือผู้นำกลุ่มพันธมิตร แล้วใครก็รู้ว่า พล.ต.จำลองนั้นคือลูกป๋า คงไม่ต้องถามว่า สัญญาณนั้นชัดไหม”

คำถามคือ ทำไมคมชัดลึกถึงมีเจตนาเขียนเช่นนั้น เพราะความจริงผู้เขียนย่อมรับรู้จากการแถลงข่าวของตัวแทนพันธมิตรฯ มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังดันทุรังบิดเบือนข้อมูลอีก

เฉกเช่นเดียวกับบทความชื่อ “ฮึดสุดท้ายอำมาตย์ ออร์แกไนซ์ทัพใหม่เปิดศึก ต้านแม้วรอบสอง” ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ หน้า 2 ฉบับวันที่ 19 เมษายน ที่พยายามลากพันธมิตรฯ เข้าไปโยงให้ได้ด้วยการเขียนในเนื้อหาส่วนหนึ่งว่า “แต่อาการหลิ่วตาแยกกันเดิน-ร่วมกันดีจากจำลอง ศรีเมือง หนึ่งในแกนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถือเป็นไฟเขียวในการให้ประชาชนมีสิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ”

หรือคอลัมน์ “บันทึกหน้า 4” ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับเดียวกันก็พยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่าพันธมิตรฯ เป็นแกนนำม็อบ 21 เมษายน ทั้งๆ พันธมิตรฯ ประกาศมาตั้งปีมะโว้แล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง

ส่วนกรณีความสัมพันธ์ระหว่างม็อบอำมาตย์กับทหารนั้น ก็มีความน่าสงสัยเช่นกันว่า ในเบื้องต้นน่าจะรับรู้หรือรู้เห็นเป็นใจไม่น้อย ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่ปรากฏเป็นข่าวมาตั้งแต่เริ่มแรกว่าม็อบอำมาตย์กลุ่มนี้ประกาศใช้สโมสรกองทัพบกเป็นสถานที่ชุมนุม

ที่สำคัญคือ หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯ ประกาศชัดเจนว่า ไม่ได้เป็นแกนนำหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดชุมนุม 21 เมษายน ทหารก็ยังพยายามนำชื่อของพันธมิตรฯ ในการให้สัมภาษณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องผิดสังเกต

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทำให้สงสัยได้ว่า ทหารน่าจะรู้เห็นเป็นใจ โดยในชั้นแรกน่าจะต้องการหยั่งกำลังของผู้ร่วมชุมนุมครั้งนี้ว่ามีมากน้อยแค่ไหน และจะจุดติดหรือไม่ กระทั่งเมื่อทราบว่าพันธมิตรฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและทำท่าว่าจำนวนผู้ชุมนุมน่าจะไม่มากพอ ทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำอันได้แก่ พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก (ทบ.) ตามต่อด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงดาหน้ากันออกมายืนยันว่า กองทัพบกไม่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ของกองทัพบกจัดกิจกรรมในครั้งนี้ และจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าเป็นเพียงการใช้พื้นที่ด้านหน้าเพื่อจัดกิจกรรมเท่านั้น

เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะมีขบวนการล่อพันธมิตรฯ ให้มาติดกับดักการชุมนุมในวันที่ 21 เมษายนนี้ เพราะต้องไม่ลืมว่า หนึ่งในแกนนำที่ชื่อ “บวร ยสินทร” นั้น มีเส้นสายใน “แวดวงสีเขียว” ที่ไม่ธรรมดา

กระนั้นก็ดี สิ่งที่กลุ่มซึ่งเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า “กลุ่มเรียกคืนอำนาจนักการเมืองเนรคุณแผ่นดิน” จะต้องตอบคำถามก็คือ ม็อบอำมาตย์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จริงจังกับการชุมนุมมากน้อยแค่ไหน เนื่องเพราะในระยะหลังสังคมโจษขานกันอึงมี่ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พล.อ.เปรมและ นช.ทักษิณว่า เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ หรือเป็นเพียงแค่ม็อบจัดฉาก ม็อบ 2 หน้า ม็อบสร้างภาพเพื่อเกมต่อรองทางการเมืองบางประการเท่านั้น

ยิ่งเมื่อได้เห็นภาพ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ไปหมอบราบคาบแก้วต่อหน้า พล.อ.เปรมในวันรดน้ำดำหัวด้วยแล้วยิ่งน่ากังขาถึงเบื้องหลังม็อบอำมาตย์ในครั้งนี้

กระนั้นก็ดี สิ่งที่สังคมคงต้องติดตามกันต่อไปก็คือ การรวมพลังของฝ่ายอำมาตย์ที่ประกาศตัวตนออกมาให้เห็นชัดเจนในครั้งนี้จะสามารถต้านทานฝ่ายไพร่ได้มากน้อยแค่ไหน เพราะเที่ยวนี้ ฝ่ายอำมาตย์ไม่อาจชักใยอยู่เบื้องหลังได้อีกต่อไป และจำต้องอาศัยทแก้วกล้าที่มีความจงรักภักดีออกมาสำแดงพลังด้วยตัวเอง

ศึกครั้งนี้จึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เร้าใจยิ่ง เพราะนี่ไม่ใช่สงครามตัวแทนที่อาศัยภาคประชาชนเป็นเครื่องมือ หากแต่เป็นสงครามที่ผู้มีอำนาจตัวจริงกระโดดลงมาเล่นด้วยตัวเอง ส่วนจะมี “น้ำยา” หรือไม่ ต้องรอพิสูจน์ฝีมือ
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน
บวร ยสินทร.
ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขณะไปซูฮก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ที่บ้านสี่เสาฯ
กำลังโหลดความคิดเห็น