ASTVผู้จัดการรายวัน – “เถ้าแก่น้อย” ซุ่มลุยหนักตลาดด่างประเทศรับเปิดเออีซี เตรียมบุกตลาดจีน พร้อมเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้นเพื่ออความเป็นรีจินัลแบรนด์สมบูรณ์แบบ ปีนี้ทุ่มงบ 120 ลุยตลาดในประเทศ ผุดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์อีก 10 แห่ง โหมทำตลาดต่อเนื่องรับศึกสาหร่ายรายใหม่โดดเข้าแย่งตลาด
นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ก)ตรา“เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า บริษัทฯมองเห็นโอกาสและเตรียมแผนรุกตลาดต่างประเทศเต็มที่ ภายหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีปี 2558 นี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เถ้าแก่น้อย มากยิ่งขึ้น
จากผลการสำรวจของบริษัท เอซีนีลเส็น พบว่า ในตลาดสแน็กหมวดสาหร่ายในภาคพื้นเอเซีย แบรนด์เถ้าแก่น้อย มีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งเป็นผู้นำอยู่แล้วช่วง 2-3 ปีก่อน ซึ่งหลังจากที่ทำตลาดต่างประเทศมานาน 7 ปี เช่น ฮ่องกง และอื่นๆ ปัจจุบันสินค้าเถ้าแก่น้อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างในตลาดระดับภูมิภาคเอเชียแล้วหรือเป็น รีจินัลแบรนด์แล้ว
ล่าสุดเตรียมเปิดตลาดที่ประเทศจีน ที่เมืองกวางโจว โดยใช้วิธีการร่วมมือกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงต้องเฝ้าระวังตลาดในประเทศ กับการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะมา จากเวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน หลังเปิดเออีซี
สำหรับแผนธุรกิจในประเทศปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้รวม 120 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น งบ 20 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์อีก 10 สาขา เพื่อให้ครบ 30 สาขาในสิ้นปีนี้ ซึ่งล่าสุดได้เปิดสาขาที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำงานบริษัท โดยปัจจุบันมีร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์เปิดบริการแล้วรวม 20 สาขา
ส่วนงบอีก 100 ล้านบาท จะนำมาใช้ในการทำตลาดตลอดทั้งปี เพื่อรองรับกับตลาดสแน็กสาหร่ายที่มีการแขงขันรนแรง เพราะมีผู้ประกอบหารรายใหม่เข้าตลาดมากขึ้น จากเดิมตลาดรวมสาหร่ายมีมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ 4,000-5,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่น้อยยังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% โดยบริษัททำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)สัดส่วน 95% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม(ทราดิชันแนลเทรด) 5% โดยสิ้นปีคาดรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2554 ที่มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท
ล่าสุดเถ้าแก่น้อยเข้าเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต “2012 โคเรียน มิวสิค เวฟ อิน แบ็งค็อก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำว่าสาหร่ายตราเถ้าแก่น้อยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศเกาหลี ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
****
แนวทางการดำเนินธุรกิจบริษัทนับจากนี้ บริษัทจะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”ยิ่งขึ้น จากปัจจุบันสินค้าเป็นที่รู้จักในตลาดระดับภูมิภาคเอเชีย หรือ “รีจินัล แบรนด์” หลังจากทำตลาดมานาน 7ปี
ทั้งนี้ จากการสำรวจของเอ.ซี.นีลเส็น บริษัทผู้วิจัยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ระบุว่า แบรนด์เถ้าแก่น้อย ครองส่วนแบ่งอันดับ1 ในตลาดสินค้าสแน็คหมวดสาหร่ายในเอเชียตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน จากการที่บริษัททำตลาดไปยังภูมิภาคนี้ อาทิ ฮ่องกง โดยในไตรมาส3-4ปีนี้ บริษัทเตรียมแผนขยายตลาดไปยังเมืองกวางโ
จว ประเทศจีน โดยร่วมกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
แนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในอาเซียนหลังเปิดสู่เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน(เออีซี) แต่ยังต้องระวังการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูก จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทได้พัฒนาสินค้าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในรูปแบบ สาหร่ายชิป เข้ามาทำตลาดเมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากก่อนหน้าทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแบบย่าง และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยใช้สายการผลิตสินค้าเดิมที่มีอยู่ เนื่องจากในปีนี้บริษัท ไม่มีนโยบายขยายการลงทุนด้านการผลิตแต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้วิธีเพิ่มรอบการทำงานขยองพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงาน ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าต่อวันทดแทน ขณะที่นโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ300บาทต่อวันของรัฐบาลและมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยบริษัทได้ดำเนินการปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกัยอัตราใหม่ไปแล้ว
ขณะที่งบลงทุนในปีนี้คาดอยู่ที่ 120 ล้านบาท แบ่งเป็น 20 ล้านบาทสำหรับขยายร้านสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ เพิ่มขึ้น 10 แห่ง ล่าสุดเปิดร้านสาขาที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่พนักงาน เป็นต้น ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 20 แห่ง คาดสิ้นเปิดให้บริการราว 30 แห่ง โดยบริษัททำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)สัดส่วน 95% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม(ทราดิชันแนลเทรด) 5%
ในส่วนของงบที่เหลืออีก 100 ล้านบาท สำหรับดำเนินกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญโปรโมชันต่างๆตลอดทั้งปี โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัท เข้าเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต “2012 โคเรียน มิวสิค เวฟ อิน แบ็งค็อก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำและการรับรู้สาหร่ายตราเถ้าแก่น้อยที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศเกาหลี ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
เนื่องจากในปัจจุบันตลาดแสน็คหมวดสาหร่ายมีอัตราการเติบโตตลาดสูงต่อเนื่อง และมีผู้เล่นหลายรายที่สนใจเข้ามาในตลาดนี้ในช่วง1-2ปีที่ผ่านมา จากเดิมตลาดมีมูลค่าราว 1,500 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา โดยเถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งสัดส่วนกว่า 70% โดยสิ้นปีคาดรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% และคาดว่าในอีก 5ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้4,000-5,000 ล้านบาท
****
ข่าวเก็บสงกรานต์1(ออก 17 เม.ย.)
โพสต์ทูเดย์-เถ้าแก่น้อย ขึ้นชั้น‘รีจินัล แบรนด์’กวาดยอดขายคลุมทั่วเอเชีย พร้อมผูกพันธมิตรใหม่บุกกวางโจว ประเทศจีน ในปลายปีนี้
นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ผู้ผลิตและทำตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ค)ตรา“เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจบริษัทนับจากนี้ บริษัทจะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”ยิ่งขึ้น จากปัจจุบันสินค้าเป็นที่รู้จักในตลาดระดับภูมิภาคเอเชีย หรือ “รีจินัล แบรนด์” หลังจากทำตลาดมานาน 7ปี
ทั้งนี้ จากการสำรวจของเอ.ซี.นีลเส็น บริษัทผู้วิจัยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ระบุว่า แบรนด์เถ้าแก่น้อย ครองส่วนแบ่งอันดับ1 ในตลาดสินค้าสแน็คหมวดสาหร่ายในเอเชียตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน จากการที่บริษัททำตลาดไปยังภูมิภาคนี้ อาทิ ฮ่องกง โดยในไตรมาส3-4ปีนี้ บริษัทเตรียมแผนขยายตลาดไปยังเมืองกวางโจว ประเทศจีน โดยร่วมกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
แนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในอาเซียนหลังเปิดสู่เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน(เออีซี) แต่ยังต้องระวังการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูก จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทได้พัฒนาสินค้าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในรูปแบบ สาหร่ายชิป เข้ามาทำตลาดเมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากก่อนหน้าทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแบบย่าง และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยใช้สายการผลิตสินค้าเดิมที่มีอยู่ เนื่องจากในปีนี้บริษัท ไม่มีนโยบายขยายการลงทุนด้านการผลิตแต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้วิธีเพิ่มรอบการทำงานขยองพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงาน ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าต่อวันทดแทน ขณะที่นโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ300บาทต่อวันของรัฐบาลและมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยบริษัทได้ดำเนินการปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกัยอัตราใหม่ไปแล้ว
ขณะที่งบลงทุนในปีนี้คาดอยู่ที่ 120 ล้านบาท แบ่งเป็น 20 ล้านบาทสำหรับขยายร้านสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ เพิ่มขึ้น 10 แห่ง ล่าสุดเปิดร้านสาขาที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่พนักงาน เป็นต้น ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 20 แห่ง คาดสิ้นเปิดให้บริการราว 30 แห่ง โดยบริษัททำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)สัดส่วน 95% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม(ทราดิชันแนลเทรด) 5%
ในส่วนของงบที่เหลืออีก 100 ล้านบาท สำหรับดำเนินกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญโปรโมชันต่างๆตลอดทั้งปี โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัท เข้าเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต “2012 โคเรียน มิวสิค เวฟ อิน แบ็งค็อก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำและการรับรู้สาหร่ายตราเถ้าแก่น้อยที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศเกาหลี ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
เนื่องจากในปัจจุบันตลาดแสน็คหมวดสาหร่ายมีอัตราการเติบโตตลาดสูงต่อเนื่อง และมีผู้เล่นหลายรายที่สนใจเข้ามาในตลาดนี้ในช่วง1-2ปีที่ผ่านมา จากเดิมตลาดมีมูลค่าราว 1,500 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา โดยเถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งสัดส่วนกว่า 70% โดยสิ้นปีคาดรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% และคาดว่าในอีก 5ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้4,000-5,000 ล้านบาท
สำหรับยอดขายในปี54 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท คาดสิ้นปีนี้เติบโต 10-15%
นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ก)ตรา“เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า บริษัทฯมองเห็นโอกาสและเตรียมแผนรุกตลาดต่างประเทศเต็มที่ ภายหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีปี 2558 นี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เถ้าแก่น้อย มากยิ่งขึ้น
จากผลการสำรวจของบริษัท เอซีนีลเส็น พบว่า ในตลาดสแน็กหมวดสาหร่ายในภาคพื้นเอเซีย แบรนด์เถ้าแก่น้อย มีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งเป็นผู้นำอยู่แล้วช่วง 2-3 ปีก่อน ซึ่งหลังจากที่ทำตลาดต่างประเทศมานาน 7 ปี เช่น ฮ่องกง และอื่นๆ ปัจจุบันสินค้าเถ้าแก่น้อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างในตลาดระดับภูมิภาคเอเชียแล้วหรือเป็น รีจินัลแบรนด์แล้ว
ล่าสุดเตรียมเปิดตลาดที่ประเทศจีน ที่เมืองกวางโจว โดยใช้วิธีการร่วมมือกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงต้องเฝ้าระวังตลาดในประเทศ กับการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะมา จากเวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน หลังเปิดเออีซี
สำหรับแผนธุรกิจในประเทศปีนี้ตั้งงบลงทุนไว้รวม 120 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น งบ 20 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์อีก 10 สาขา เพื่อให้ครบ 30 สาขาในสิ้นปีนี้ ซึ่งล่าสุดได้เปิดสาขาที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำงานบริษัท โดยปัจจุบันมีร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์เปิดบริการแล้วรวม 20 สาขา
ส่วนงบอีก 100 ล้านบาท จะนำมาใช้ในการทำตลาดตลอดทั้งปี เพื่อรองรับกับตลาดสแน็กสาหร่ายที่มีการแขงขันรนแรง เพราะมีผู้ประกอบหารรายใหม่เข้าตลาดมากขึ้น จากเดิมตลาดรวมสาหร่ายมีมูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท แต่คาดว่าปีนี้จะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ 4,000-5,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เถ้าแก่น้อยยังคงเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% โดยบริษัททำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)สัดส่วน 95% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม(ทราดิชันแนลเทรด) 5% โดยสิ้นปีคาดรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2554 ที่มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท
ล่าสุดเถ้าแก่น้อยเข้าเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต “2012 โคเรียน มิวสิค เวฟ อิน แบ็งค็อก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำว่าสาหร่ายตราเถ้าแก่น้อยใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศเกาหลี ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
****
แนวทางการดำเนินธุรกิจบริษัทนับจากนี้ บริษัทจะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”ยิ่งขึ้น จากปัจจุบันสินค้าเป็นที่รู้จักในตลาดระดับภูมิภาคเอเชีย หรือ “รีจินัล แบรนด์” หลังจากทำตลาดมานาน 7ปี
ทั้งนี้ จากการสำรวจของเอ.ซี.นีลเส็น บริษัทผู้วิจัยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ระบุว่า แบรนด์เถ้าแก่น้อย ครองส่วนแบ่งอันดับ1 ในตลาดสินค้าสแน็คหมวดสาหร่ายในเอเชียตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน จากการที่บริษัททำตลาดไปยังภูมิภาคนี้ อาทิ ฮ่องกง โดยในไตรมาส3-4ปีนี้ บริษัทเตรียมแผนขยายตลาดไปยังเมืองกวางโ
จว ประเทศจีน โดยร่วมกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
แนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในอาเซียนหลังเปิดสู่เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน(เออีซี) แต่ยังต้องระวังการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูก จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทได้พัฒนาสินค้าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในรูปแบบ สาหร่ายชิป เข้ามาทำตลาดเมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากก่อนหน้าทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแบบย่าง และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยใช้สายการผลิตสินค้าเดิมที่มีอยู่ เนื่องจากในปีนี้บริษัท ไม่มีนโยบายขยายการลงทุนด้านการผลิตแต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้วิธีเพิ่มรอบการทำงานขยองพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงาน ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าต่อวันทดแทน ขณะที่นโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ300บาทต่อวันของรัฐบาลและมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยบริษัทได้ดำเนินการปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกัยอัตราใหม่ไปแล้ว
ขณะที่งบลงทุนในปีนี้คาดอยู่ที่ 120 ล้านบาท แบ่งเป็น 20 ล้านบาทสำหรับขยายร้านสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ เพิ่มขึ้น 10 แห่ง ล่าสุดเปิดร้านสาขาที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่พนักงาน เป็นต้น ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 20 แห่ง คาดสิ้นเปิดให้บริการราว 30 แห่ง โดยบริษัททำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)สัดส่วน 95% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม(ทราดิชันแนลเทรด) 5%
ในส่วนของงบที่เหลืออีก 100 ล้านบาท สำหรับดำเนินกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญโปรโมชันต่างๆตลอดทั้งปี โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัท เข้าเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต “2012 โคเรียน มิวสิค เวฟ อิน แบ็งค็อก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำและการรับรู้สาหร่ายตราเถ้าแก่น้อยที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศเกาหลี ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
เนื่องจากในปัจจุบันตลาดแสน็คหมวดสาหร่ายมีอัตราการเติบโตตลาดสูงต่อเนื่อง และมีผู้เล่นหลายรายที่สนใจเข้ามาในตลาดนี้ในช่วง1-2ปีที่ผ่านมา จากเดิมตลาดมีมูลค่าราว 1,500 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา โดยเถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งสัดส่วนกว่า 70% โดยสิ้นปีคาดรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% และคาดว่าในอีก 5ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้4,000-5,000 ล้านบาท
****
ข่าวเก็บสงกรานต์1(ออก 17 เม.ย.)
โพสต์ทูเดย์-เถ้าแก่น้อย ขึ้นชั้น‘รีจินัล แบรนด์’กวาดยอดขายคลุมทั่วเอเชีย พร้อมผูกพันธมิตรใหม่บุกกวางโจว ประเทศจีน ในปลายปีนี้
นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง ผู้ผลิตและทำตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ค)ตรา“เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่าแนวทางการดำเนินธุรกิจบริษัทนับจากนี้ บริษัทจะมุ่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย”ยิ่งขึ้น จากปัจจุบันสินค้าเป็นที่รู้จักในตลาดระดับภูมิภาคเอเชีย หรือ “รีจินัล แบรนด์” หลังจากทำตลาดมานาน 7ปี
ทั้งนี้ จากการสำรวจของเอ.ซี.นีลเส็น บริษัทผู้วิจัยตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ระบุว่า แบรนด์เถ้าแก่น้อย ครองส่วนแบ่งอันดับ1 ในตลาดสินค้าสแน็คหมวดสาหร่ายในเอเชียตั้งแต่ 2-3 ปีก่อน จากการที่บริษัททำตลาดไปยังภูมิภาคนี้ อาทิ ฮ่องกง โดยในไตรมาส3-4ปีนี้ บริษัทเตรียมแผนขยายตลาดไปยังเมืองกวางโจว ประเทศจีน โดยร่วมกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
แนวทางดังกล่าว สอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ ซึ่งบริษัทมองเห็นโอกาสในการทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในอาเซียนหลังเปิดสู่เศรษฐกิจประชาคมอาเซียน(เออีซี) แต่ยังต้องระวังการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูก จากประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทได้พัฒนาสินค้าสาหร่ายเถ้าแก่น้อยในรูปแบบ สาหร่ายชิป เข้ามาทำตลาดเมื่อปลายเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา จากก่อนหน้าทำตลาดสาหร่ายเถ้าแก่น้อยแบบย่าง และได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค โดยใช้สายการผลิตสินค้าเดิมที่มีอยู่ เนื่องจากในปีนี้บริษัท ไม่มีนโยบายขยายการลงทุนด้านการผลิตแต่อย่างใด
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้วิธีเพิ่มรอบการทำงานขยองพนักงานฝ่ายผลิตในโรงงาน ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าต่อวันทดแทน ขณะที่นโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ300บาทต่อวันของรัฐบาลและมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ด้วยบริษัทได้ดำเนินการปรับค่าจ้างให้สอดคล้องกัยอัตราใหม่ไปแล้ว
ขณะที่งบลงทุนในปีนี้คาดอยู่ที่ 120 ล้านบาท แบ่งเป็น 20 ล้านบาทสำหรับขยายร้านสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ เพิ่มขึ้น 10 แห่ง ล่าสุดเปิดร้านสาขาที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล21 เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่พนักงาน เป็นต้น ปัจจุบันเปิดให้บริการสาขาเถ้าแก่น้อยแลนด์ 20 แห่ง คาดสิ้นเปิดให้บริการราว 30 แห่ง โดยบริษัททำตลาดผ่านช่องทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่(โมเดิร์นเทรด)สัดส่วน 95% และร้านค้าปลีกดั้งเดิม(ทราดิชันแนลเทรด) 5%
ในส่วนของงบที่เหลืออีก 100 ล้านบาท สำหรับดำเนินกิจกรรมการตลาดภายใต้แคมเปญโปรโมชันต่างๆตลอดทั้งปี โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัท เข้าเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ต “2012 โคเรียน มิวสิค เวฟ อิน แบ็งค็อก” ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 เม.ย. ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำและการรับรู้สาหร่ายตราเถ้าแก่น้อยที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพจากประเทศเกาหลี ไปยังกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
เนื่องจากในปัจจุบันตลาดแสน็คหมวดสาหร่ายมีอัตราการเติบโตตลาดสูงต่อเนื่อง และมีผู้เล่นหลายรายที่สนใจเข้ามาในตลาดนี้ในช่วง1-2ปีที่ผ่านมา จากเดิมตลาดมีมูลค่าราว 1,500 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา โดยเถ้าแก่น้อยครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งสัดส่วนกว่า 70% โดยสิ้นปีคาดรายได้เติบโตเพิ่มขึ้น 20% และคาดว่าในอีก 5ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้4,000-5,000 ล้านบาท
สำหรับยอดขายในปี54 อยู่ที่ 2,000 ล้านบาท คาดสิ้นปีนี้เติบโต 10-15%