“เถ้าแก่น้อย” ซุ่มลุยต่างประเทศรับเปิดเออีซี เล็งบุกตลาดจีน พร้อมเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์มากยิ่งขึ้นเพื่อความเป็นรีจินัลแบรนด์สมบูรณ์แบบ ปีนี้ทุ่มงบ 120 ลุยตลาดในประเทศ ผุดร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์อีก 10 แห่ง รับศึกสาหร่ายรายใหม่โดดเข้าแย่งตลาด
นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ก)ตรา“เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า บริษัทฯมองเห็นโอกาสจากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน( AEC) จึงวางแผน รุกตลาดต่างประเทศเต็มที่ ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เถ้าแก่น้อย เพราะจากผลการสำรวจของบริษัท เอซีนีลเส็น พบว่า ในตลาดสแน็กหมวดสาหร่ายในภาคพื้นเอเซีย แบรนด์เถ้าแก่น้อย มีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งเป็นผู้นำอยู่แล้วช่วง 2-3 ปีก่อน ซึ่งหลังจากที่ทำตลาดต่างประเทศมานาน 7 ปี เช่น ฮ่องกง และอื่นๆ ปัจจุบันสินค้าเถ้าแก่น้อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างในตลาดระดับภูมิภาคเอเชียแล้วหรือเป็น รีจินัลแบรนด์แล้ว ล่าสุดเตรียมเปิดตลาดที่ประเทศจีน ที่เมืองกวางโจว โดยใช้วิธีการร่วมมือกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงต้องเฝ้าระวังตลาดในประเทศ กับการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะมา จากเวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน หลังเปิดเออีซี
ปีนี้จึงตั้งงบลงทุน 120 ล้านบาท แบ่งเป็น งบ 20 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์เพิ่มอีก 10 สาขาจากที่มีอยู่แล้ว 20 สาขา พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำงานบริษัท ส่วนงบอีก 100 ล้านบาท จะนำมาใช้ในการทำตลาดตลอดทั้งปี เพื่อรองรับกับตลาดสแน็กสาหร่ายที่มีการแขงขันรุนแรง จากการเติบโตของตลาดรวมสาหร่าย ปีก่อนอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท และปีนี้จะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ 4,000-5,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% ช่องทางจำหน่ายหลักหรือ 95% ผ่านโมเดิร์นเทรด และอีก 5% ผ่านร้านค้าปลีกดั้งเดิม หรือ(ทราดิชันแนลเทรด) โดยสิ้นปีนี้คาดรายได้เติบโต 20% จากปี 2554 ที่มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท
นายอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและทำตลาดขนมขบเคี้ยว(สแน็ก)ตรา“เถ้าแก่น้อย” เปิดเผยว่า บริษัทฯมองเห็นโอกาสจากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน( AEC) จึงวางแผน รุกตลาดต่างประเทศเต็มที่ ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ เถ้าแก่น้อย เพราะจากผลการสำรวจของบริษัท เอซีนีลเส็น พบว่า ในตลาดสแน็กหมวดสาหร่ายในภาคพื้นเอเซีย แบรนด์เถ้าแก่น้อย มีส่วนแบ่งอันดับหนึ่งเป็นผู้นำอยู่แล้วช่วง 2-3 ปีก่อน ซึ่งหลังจากที่ทำตลาดต่างประเทศมานาน 7 ปี เช่น ฮ่องกง และอื่นๆ ปัจจุบันสินค้าเถ้าแก่น้อยเป็นที่รู้จักในวงกว้างในตลาดระดับภูมิภาคเอเชียแล้วหรือเป็น รีจินัลแบรนด์แล้ว ล่าสุดเตรียมเปิดตลาดที่ประเทศจีน ที่เมืองกวางโจว โดยใช้วิธีการร่วมมือกับพันธมิตรด้านช่องทางการจำหน่าย
อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังคงต้องเฝ้าระวังตลาดในประเทศ กับการเข้ามาของสินค้าสาหร่ายราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านไม่ว่าจะมา จากเวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น ที่อาจทะลักเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นกัน หลังเปิดเออีซี
ปีนี้จึงตั้งงบลงทุน 120 ล้านบาท แบ่งเป็น งบ 20 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์เพิ่มอีก 10 สาขาจากที่มีอยู่แล้ว 20 สาขา พร้อมขยายกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนทำงานบริษัท ส่วนงบอีก 100 ล้านบาท จะนำมาใช้ในการทำตลาดตลอดทั้งปี เพื่อรองรับกับตลาดสแน็กสาหร่ายที่มีการแขงขันรุนแรง จากการเติบโตของตลาดรวมสาหร่าย ปีก่อนอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท และปีนี้จะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านบาท และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดสาหร่ายจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้ 4,000-5,000 ล้านบาท
ปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งกว่า 70% ช่องทางจำหน่ายหลักหรือ 95% ผ่านโมเดิร์นเทรด และอีก 5% ผ่านร้านค้าปลีกดั้งเดิม หรือ(ทราดิชันแนลเทรด) โดยสิ้นปีนี้คาดรายได้เติบโต 20% จากปี 2554 ที่มียอดขายประมาณ 2,000 ล้านบาท