xs
xsm
sm
md
lg

ไร้อารยะทางการเมืองของรัฐบาลนี้ นำสู่ความหายนะทางการเมืองของไทย

เผยแพร่:   โดย: ว.ร. ฤทธาคนี

มันเป็นเรื่องเศร้าอย่างที่สุด เมื่อรัฐบาลไร้สัจจะ ไร้อารยะทางการเมืองเพราะการสร้างภาพ โฆษณาชวนเชื่อ และโกหกประชาชนอย่างหน้าด้านๆ ด้วยการใช้หลักการตลาดสร้าง “สินค้า” การเมืองตัวหนึ่ง แล้วให้ผู้บริโภคมองเห็นว่ามันวิเศษเกินกว่าสินค้าตัวอื่นๆ แต่เมื่อผู้บริโภคเลือกซื้อแล้ว พบว่าสินค้านั้นไร้คุณภาพอย่างสิ้นเชิง

เมื่อพรรคเพื่อไทยรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทั่วไปเมื่อต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ก็ใช้หลักประชานิยมนำในการหาเสียง แต่เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโกหกคนทั้งชาติในเรื่องอัตราเงินเดือนขั้นต่ำของข้าราชการ และการปรับฐานเงินตอบแทนให้บัณฑิตจบใหม่ ให้เริ่มต้นที่ 15,000 บาทต่อเดือน กลายเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ การใช้หลักประชานิยมนี้ปิดปากภาคเอกชน เพราะหากผู้ประกอบการรายใดออกมาคัดค้าน ก็จะเกิดพลังต่อต้านอย่างรุนแรง และจะถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ประกอบการนายทุนหน้าเลือด” ทั้งๆ ที่การขึ้นค่าแรงนั้น โดยปกติจะต้องเป็นเรื่องการตกลงกันระหว่างลูกจ้าง นายจ้าง และรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน จัดการประชุมเพื่อให้หาข้อยุติที่สมดุลและเป็นธรรมด้วยกันทุกฝ่ายในเรื่องต้นทุน อัตราค่าครองชีพ และอัตราเงินเฟ้อ

ในการหาเสียงของพรรคเพื่อไทยนั้น กระทำโดยปราศจากฐานความคิดและการพิจารณาใดๆ ทั้งสิ้น เพียงต้องการกระเพื่อมพลังคนฐานล่างของรายได้ ให้นิยมศรัทธาและออกมาเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ให้ประชาชนออกมาเลือกตั้ง แต่ต้องไม่ใช่การโฆษณาล่อลวงให้คนไทยมองว่า นโยบายการสร้างพลังซื้อ และยกระดับฐานะของคนไทย และการให้ค่าตอบแทนสูงขึ้น เป็นการกระตุ้นรายได้ภายในประเทศของประชาชน

จินตนาการนี้ดูดีอย่างแน่นอน ทั้งในเชิงทฤษฎีทางเศรษฐกิจและสังคม แต่อีกหลายๆ ด้านของเหรียญ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ชี้แจงให้ประชาชนมองเห็นถึงความเป็นไปได้ เพราะมีตัวแปรมากมายที่พรรคเพื่อไทยควบคุมไม่ได้ เช่น ราคาน้ำมัน ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าสินค้าไทย และกลยุทธ์ของคู่แข่งของไทยในเชิงการค้า รวมทั้งคู่แข่งของไทยในเรื่องแหล่งการลงทุน ซึ่งหากต้นทุนการผลิตของไทยสูงขึ้นโดยเฉพาะเรื่องค่าแรง ประเทศนักลงทุนย่อมพิจารณาหาแหล่งการผลิตใหม่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษาสูงกว่าหรือใกล้เคียงกัน เช่น มาเลเซีย และเวียดนาม เป็นต้น

ข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้โกหก พรรคเพื่อไทยโกหก เมื่อก่อนสงกรานต์รัฐบาลออกแถลงว่ารัฐบาลไม่สามารถที่จะปรับฐานเงินเดือนให้ข้าราชการจบปริญญาตรี และบัณฑิตใหม่บรรจุเข้าทำงานจะให้ได้เงินเดือนๆ ละ 15,000 บาท ตามที่ได้โฆษณาชวนเชื่อขณะหาเสียง และไม่สามารถที่จะกระทำได้จนในปี พ.ศ. 2557 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า

การรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทยเมื่อช่วงปีที่แล้ว สร้างกระแสความปั่นป่วนในระบบการตลาดของไทยทั้งประเทศ เพราะผู้ประกอบการค้าทุกระดับขึ้นราคาสินค้าเพื่อรองรับ “รายได้ใหม่” ของทั้งลูกจ้างและบัณฑิตใหม่

นอกเหนือจากการโกหก และการบริหารจัดการการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติทั้งรูปธรรมและนามธรรม หลายชาติโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่นขาดศรัทธาและความเชื่อถือในการบริหารความเสี่ยงด้านอุทกภัยของรัฐบาลนี้ แต่ด้วยมารยาทของรัฐบาลญี่ปุ่น ย่อมจะแสดงไมตรีจิตว่านักลงทุนญี่ปุ่นยังมีความเชื่อมั่น และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลนี้ยอมลงทุนเอาเงินของคนทั้งชาติมาถลุง เพื่อสร้างความมั่นใจ โดยสร้างหลักประกันน้ำท่วมเป็นเงินงบประมาณจำนวนมหาศาลหลายแสนล้านบาท

เราคงต้องรอดูว่ากลุ่มนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่น จะย้ายฐานการลงทุนหรือไม่ในอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะการสร้างโรงงานใหม่ใช้เวลาประมาณนี้ และขณะนี้เชื่อได้ว่าบรรดาผู้ชำนาญการด้านการลงทุน กำลังเจาะหาแหล่งการลงทุนใหม่ที่มีปัจจัยหลักมั่นคง เช่น เสถียรภาพทางการเมือง กระแสสังคมราบเรียบ นักการเมืองมีความชอบธรรม ต้นทุนการผลิตเปลี่ยนแปลงตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เช่น ฐานค่าครองชีพ และอัตราเงินเฟ้อ การปรับตัวตามกระแสเศรษฐกิจโลกได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

การสร้างภาพปรองดองของรัฐบาลซึ่งมีวาระซ่อนเร้น แต่เป็นสิ่งที่คนทั้งโลกเห็นได้ชัด คือ การเยียวยาคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการก่อการร้ายทำร้ายประชาชน ทหาร และเผาบ้านเผาเมือง แต่กลับได้รับเงินตอบแทนจำนวนมหาศาลถึง 7.75 ล้านบาทต่อคน ทั้งๆ ที่พฤติกรรมในอดีตและก่อนตาย ไม่มีอะไรน่ายกย่อง ไม่เคยเสียสละเพื่อสังคม เรื่องนี้สังคมไทยควรล่วงรู้ว่าพฤติกรรมในอดีตของคนเหล่านั้น เป็นสิ่งที่ควรยกย่องเชิดชูหรือไม่ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท้าทายให้หน่วยเกี่ยวข้องของรัฐบาลหาข้อเท็จจริง ควรชี้แจงให้ประชาชนทั้งชาติได้รับรู้เห็นจริง ว่าคนเหล่านี้ควรได้รับการยกย่องหรือไม่ เพราะมีเรื่องราวของคนเสื้อแดงหลายสิบคนที่มีประวัติอาชญากร ซึ่งสื่อได้นำเสนอให้สังคมได้รับรู้กันบ้างแล้ว

หากพิจารณาให้เห็นว่า รัฐบาลนี้มีความชอบธรรมในเรื่องการตอบแทนผู้ที่ควรได้รับการเยียวยา รัฐบาลก็ควรพิจารณาถึงคนทั้งหมดที่ได้รับเคราะห์กรรมลักษณะนี้ เช่น ทหาร ตำรวจ และข้าราชการทุกแขนง ได้แก่ ครู กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ที่ถูกลอบสังหารโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งนี้ ยังไม่รวมกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ซึ่งถูกลูกหลงเสียชีวิตจากการลอบวางระเบิด

วันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ขมขื่น เมื่อทหารของชาติรับคำสั่งรัฐบาลให้รักษาความสงบเรียบร้อย เพราะการต่อต้านประท้วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนชาวกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในย่านเกาะกลางกรุงรัตนโกสินทร์ แต่กลับถูกลอบสังหารด้วยอาวุธสงครามทั้งปืนและระเบิด

ครอบครัว พล.อ.ร่มเกล้า ธุรธรรม และทหารท่านอื่นๆ อีก 4 ครอบครัว ก็ได้รับเคราะห์ เมื่อผู้นำครอบครัวถูกสังหาร แต่รัฐบาลไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา กลับปล่อยให้เป็นเรื่องของการสอบสวนหาผู้กระทำผิด ทั้งๆ ที่สามารถเยียวยาได้ทันทีเช่นเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ป่วนบ้านเมือง แต่กลับได้ 7.75 ล้านบาทต่อคน

รัฐบาลแสวงหาความปรองดอง แต่พฤติกรรมและความคิดมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น การเลือกปฏิบัติเพื่อฐานการเมืองเถื่อน เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไร้อารยะของรัฐบาลนี้

นักประวัติศาสตร์การเมืองไทย คงจะรับรู้ในเรื่องเหล่านี้ว่าไม่มีช่วงไหนของชาติไทย ที่รัฐบาลสร้างความแตกแยกมากกว่าการสร้างความปรองดอง การสร้างม่านบังตาให้คนไทยหลงทางนั้น เป็นความไร้อารยะทางการเมืองของรัฐบาลนี้ และนำสู่ความหายนะทางการเมืองไทยอย่างแท้จริง
กำลังโหลดความคิดเห็น