ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลายคนอาจจะหลงระเริงอยู่กับความพยายามของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่คุมเสียงข้างมากในสภาฯ กับการปลดปล่อยบ่วงคดีความให้กับพรรคพวกของตนเอง โดยเฉพาะการพานายใหญ่ "ทักษิณ ชินวัตร" กลับบ้านเกิด โดยไม่ต้องติดคุก และปราศจากคดีความทั้งหลายทั้งปวง ภายใต้แผน"นิรโทษกรรม"
10 เมษายน 2555 ถือว่าได้เวียนมาครบ 2 ปีเต็ม กับเหตุการณ์ "10 เมษา วิปโยค" เหตุการณ์ร้ายที่เกิดจากการกระทำของน้ำมือคนเสื้อแดง ที่มี "ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยหนีโทษคุก 2 ปี เป็นตัวการใหญ่ และเป็นบุคคลคนเดียวกับ คนที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" กำลังจะออกกฎหมายนิรโทษความผิดให้กับเขา
ดังนั้น เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ร้ายในวันนั้น จึงขอพาย้อนไปดูพฤติกรรมของคนเสื้อแดง ก่อนสู่เหตุการณ์"10 เมษา วิปโยค"ถือได้ว่า กลุ่มคนพวกนี้ ได้ใช้กฎหมู่ กระทำการ ย่ำยี กฎหมาย และไม่เกรงกลัวต่อการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง ของรัฐบาล โดยที่พฤติกรรม ดังกล่าวได้เกิดขึ้น เป็นลำดับ ขั้นตอน มีเจตนาต้องการยั่วยุให้ทหาร ตำรวจ ออกมาใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม
เริ่มจาก 5 เม.ย. เวลา 10.30 .00 น. "ขวัญชัย ไพรพนา" แกนนำคนรักอุดรฯที่ถนัดเรื่องใช้ความรุนแรง นำทัพเสื้อแดง โดยมีคู่หู่อย่าง "สุภรณ์ อัตถาวงศ์ และ เจ๋ง ดอกจิก"พร้อมสมุนไพร่แดงเคลื่อนกำลังไปกดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ปิดล้อมสำนักงาน กกต.ภายในศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อกดดันให้ กกต.เร่งตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ภารกิจวันนั้น หลังไพร่แดงเห็นว่า หากยื้อต่อไป อาจไม่เป็นผลดีต่อกลุ่ม จึงได้จัดส่งวายร้ายตัวสำคัญ "ไอ้กี้ร์" อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เข้าเสริมทัพไพร่ พร้อมปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงที่อยู่ภายนอกอาคารลุกฮือเข้ามาภายในจากทุกประตู และบางส่วนได้ทำการบุกสำนักงาน กกต.เป็นผลทำให้ "พล.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ" ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ต้องรีบทำการประสานกับผู้แทนของ กกต.และแกนนำม็อบ เพื่อป้องกันความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น สุดท้ายเมื่อ ม็อบไพร่แดงได้รับคำตอบว่า กกต.จะรีบพิจารณาสำนวนคดีให้เสร็จภายในวันที่ 20 เม.ย.53 กลุ่มไพร่แดง จึงถอนกำลังกลับ
ภารกิจเคลื่อนคนเสื้อแดง ท้าทายอำนาจรัฐ เหยียบย่ำพื้นที่ต้องห้ามในถนน 11 สาย ในวันที่ 6 เม.ย.ก็ถือเป็นพฤติกรรมยั่วยุแบบสุดๆ เมื่อแกนนำประกาศว่า ทุกพื้นที่ คนเสื้อแดงซึ่งเป็นผู้เสียภาษีอากร เป็นคนไทย สามารถเข้าไปได้ทั้งหมด รัฐไม่สามารถมาประกาศปิดกั้นพวกเขาได้ แต่โชคดีในวันนั้น เจ้าหน้าที่ไม่หลงกล ปล่อยให้เคลื่อนไปได้ และเมื่อคนเสื้อแดงเห็นว่า แผนการนี้ ไม่สามารถยั่วยุให้เจ้าหน้าที่ก่อความรุนแรงกับผู้ชุมนุมได้ จึงต้องยุติการเคลื่อนขบวน ทั้งที่ยังเคลื่อนม็อบไม่ครบทั้ง 11 สาย ตามที่แกนนำได้ประกาศไว้
7 เม.ย.“ไอ้กี้ร์”นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เหิมหนัก นำสาวกไพร่แดงบุกเข้ารัฐสภา เพื่อตามไล่ล่า “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ที่พวกมันเชื่อว่ายังอยู่ภายในอาคารรัฐสภา หลังจากใส่ร้าย "สุเทพ" ว่าเป็นคนสั่งให้แดงเทียมนำแก๊สน้ำตาโยนใส่คนเสื้อแดง หรือระเบิดเพลิงยิงใส่เสื้อแดง โดยวัน นั้น “พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย” ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ เล่นบทลิ้น 2 แฉก คือแฉกแรก พูดในฐานะรองประธาน และแฉกสอง พูดในฐานะแกนนำม็อบแดง ก่อนที่จะอาสานำตรวจค้น โดยผลการกระทำของ "แก๊งไอ้กี้ร์" ถือว่าป่าเถื่อนสุดๆ เมื่อเข้าไปยึดอาวุธประจำกายของเจ้าหน้าที่ ที่มีอำนาจพกพาอาวุธได้ตามกฎหมาย นำเอาออกมาโชว์ด้านหน้าเพื่อให้สื่อถ่ายภาพเป็นหลักฐาน(เท็จ)ของพวกมัน ไม่เพียงแค่นั้น กลุ่ม
ส.ส.ถ่อย พรรคเพื่อไทย ยังได้ไปจับกุม สห.ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในสภา มาให้กลุ่มคนเสื้อแดง รุมทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บ
9 เม.ย.กลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางออกนอกกรุง มุ่งหน้าสถานีควบคุมดาวเทียมไทยคม ที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี โดยมีแกนนำหลัก นำทัพไปเพื่อทวงคืนสัญญาณออกอากาศพีเพิลแชนแนล(พีทีวี)หลังรัฐบาลใช้อำนาจตามกฎหมาย สั่งปิดปิดทีวีแดง จนจอมืดมิด ซึ่งการเคลื่อนม็อบเสื้อแดงในครั้งนั้น ถือว่าไปเพื่อต้องการก่อความรุนแรงบุกยึดสถานีไทยคม และผลจาก "ไอ้เต้น"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ปลุกเร้า ทำให้คนเสื้อแดงดาหน้าบุกปะทะเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อกรุยเปิดทางให้รถบรรทุก 6 ล้อของเสื้อแดงเข้าไปได้ จากนั้นเสื้อแดงได้ยึดรถผู้ต้องขังตำรวจ ยึดปืน ถอดหมวกเจ้าหน้าที่โยนทิ้งลำคลองที่อยู่ด้านหน้าไทยคม แม้ว่าทหารจะยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลาย ก็เอาไม่อยู่ เนื่องจากแก๊สน้ำตาที่ยิงมาตกอยู่ในทิศทางลมพัดหวนเข้าตาเจ้าหน้าที่ ทำให้เสื้อแดงลุกฮือประกาศชัยชนะบุกยึดไทยคมสำเร็จ
ผลการบุกยึดสถานีดาวเทียมไทยคมของคนเสื้อแดง ทำให้ทหารและ รัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เด็ดขาดในการบังคับใช้กฎหมาย ถึงกับทำให้ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรี(ขณะนั้น) มีอาการเครียดหนัก พร้อมกับยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทุกคนท้อถอยไม่ได้ และจะปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ผู้นำทหารถึงกับออกปากว่า ต้องกลับไปยึดไทยคมกลับคืนมาให้ได้ และจากคำสั่งเด็ดขาดดังกล่าว ทำให้ทหารเข้ายึดสถานีดาวเทียมไทยคม กลับคืนจากกลุ่มคนเสื้อแดง เป็นผลสำเร็จ
มาถึงวันวิปโยค 10 เม.ย. เวลา 13.00 น."ขวัญชัย ไพรพนา" แดงพันธุ์ดุเจ้าเดิม! นำกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีกำลังแค่หลักพันคน ออกจากสะพานผ่านฟ้า มุ่งหน้าฐานที่มั่นของทหาร กองทัพภาคที่ 1 โดยวางโจทย์คือ ไปแหย่ทหารให้ออกมาทำร้ายประชาชน ซึ่งผลการกระทำของ "ขวัญชัย ไพรพนา" ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ เกิดเป็นผลสำเร็จ เมื่อรัฐบาลสั่งปฏิบัติการตอบโต้ ภายใต้แผนขอพื้นที่คืนบางส่วนจากผู้ชุมนุม จากนั้นได้มีการระดมกำลังทหารออกปฏิบัติการ เป็นขั้น เป็นตอน ควบคู่กับการแถลงข่าวของ ศอฉ.อย่างต่อเนื่อง เพื่อความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของทหาร ซึ่งภารกิจในวันนั้น ได้มีการฉีดน้ำ ยิงแก๊สน้ำตา ยิงกระสุนยาง ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงแตกกระเจิง แต่ไม่ได้ทำ ให้ กลุ่มผู้ชุมนุมเกรงกลัวในการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร แต่กลับตอบโต้ด้วยวิธีการที่รุนแรง
สุดท้ายผลการตอบโต้ของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มี"ทักษิณ ชินวัตร"เป็นตัวการใหญ่ ก็เป็นไปตามที่ รัฐบาล และประชาชนผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ได้คาดการณ์ไว้ คือ คนเสื้อแดงที่เดินแผนบนดิน และแผนเถื่อนใต้ดิน ได้จับมือกันออกปฏิบัติการต่อต้านเจ้าหน้าที่รัฐอย่างดุเดือด ทำให้ทหาร และ ประชาชน ถูกยิงด้วยอาวุธปืนกระสุนจริง จนมีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ จำนวนมาก ก่อนที่รัฐบาล จะประกาศให้ทหารหยุดปฏิบัติการ เพื่อยุติการสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น
จากพฤติกรรมเถื่อน ที่เกิดขึ้นในขณะการสลายการชุมนุม ต่อมามีภาพยืนยันชัดเจนว่า ได้มีชายชุดดำ เหน็บผ้าแดง ถืออาวุธปืนสงคราม แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง เข้าทำการยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหาร อย่างเลือดเย็น ทั้งๆ ที่บางวินาที ทหารได้มีการขอร้องให้หยุดยิง เพื่อต้องการเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ แต่พวกมันกลับไม่ฟังเสียงการร้องขอชีวิต และกลับยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหารอย่างบ้าคลั่ง
คนเถื่อนใส่ชุดดำ ผู้ก่อเหตุ วันนั้น หากถามคนเสื้อแดง พวกเขาก็จะยืนยันเสียงแข็งว่า เป็นแดงเทียม ตามที่ป่าวประกาศไว้ตลอดเวลาของการชุมนุม แต่หากดูจากพฤติกรรมการเข้าไปก่อเหตุ แสดงสัญลักษณ์ผ้าแดง รวมกลุ่มกับคนเสื้อแดง น่าเชื่อว่า น่าจะเป็นแดงแท้ ที่เดินแผนใต้ดิน โดยมี “ตำรวจมะเขือเทศ”และ "ทหารแตงโม" ให้การหนุนหลัง
วันนี้ยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย รัฐบาลที่เขาประกาศว่า คนเสื้อแดงไม่ผิด รัฐบาลขณะนั้น คือ ผู้กระทำให้พวกเขาล้มตาย และบาดเจ็บ ดังนั้นพวกเขาต้องไม่ถูกดำเนินคดี และนายใหญ่ของเขาต้องได้รับการนิรโทษกรรม กลับบ้านเกิดอย่างสมเกียรติ ส่วนประชาชนคนไทย เมื่อย้อนอ่านเหตุการณ์ "10 เมษาวิปโยค"ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว จะเห็นด้วยกับรัฐบาลเสื้อแดงหรือไม่ ถือเป็น บทเรียนที่ต้องนำมาขบคิด!!!