ASTVผู้จัดการรายวัน-ปตท.-บางจากควงคู่ ขึ้นเบนซินรับคนเที่ยวหยุดยาว วันจักรีและสงกรานต์ "พาณิชย์"ส่งทีมตรวจสถานีขนส่ง สถานีรถไฟ กันพ่อค้าแม่ค้าฉวยโอกาสโขกราคา "ชัชชาติ"เมิน"เจ๊เกียว" ไม่วิ่งรถเปล่า ยันมีรถเสริมพร้อมขนคน กฟผ.ส่งสัญญาณ ขึ้นค่าเอฟทีงวดใหม่ พ.ค.-ส.ค.นี้ ยันแบกรับภาระต่อไม่ไหว ฮือฮา พิษขึ้นค่าแรง 300 ทำน้ำแข็งเปล่าขึ้นแก้วละ 5 บาท ปชป.จวกรัฐเหลวแก้ค่าครองชีพพุ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ค้าน้ำมันได้แจ้งปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน 50 สตางค์ต่อลิตรทุกชนิด ยกเว้น อี 85 ที่ปรับขึ้น 30 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่คงราคาขายดีเซล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ทำให้ราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้ คือ เบนซิน 91 ลิตรละ 43.08 บาท แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 40.73 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 38.98 บาท/ลิตร อี 20 เป็น 37.98 บาท/ลิตร อี 85 เป็น 24.28 บาท /ลิตร และดีเซลคงเดิมที่ 32.33 บาท/ลิตร
การปรับราคาขายปลีกครั้งนี้ สืบเนื่องจากค่าการตลาดในกลุ่มเบนซินลดต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร ทำให้ต้องปรับขึ้นราคา หลังจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้น และเป็นไปตามราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ที่สำคัญ เป็นการปรับขึ้นก่อนที่ประชาชนจะเริ่มเดินทางออกต่างจังหวัดเพื่อกลับบ้านและท่องเที่ยว ในช่วงวัดหยุดยาววันจักรี และต่อเนื่องถึงวันสงกรานต์
***"พาณิชย์"ส่งทีมตรวจสินค้ากันโกง
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงการตรวจสอบราคาสินค้าและบริการในช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันจักรี และเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่า กรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ รวมทั้งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ เช่น ผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ให้บริการรับฝากของ บริการรถเข็นสัมภาระตามสถานีขนส่ง และสถานีรถไฟทั่วประเทศ ทั้งสถานีขนส่ง หมอชิต 2 สถานีขนส่งเอกมัย สถานีขนส่งสายใต้ สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟบางซื่อ สถานรถไฟบางกอกน้อย สถานีขนส่ง สถานีรถไฟตามต่างจังหวัด และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการ เพื่อป้องปรามมิให้มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้า และคิดค่าบริการสูงเกินสมควร ในช่วงเทศกาลที่มีประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง
“ผู้บริโภคต้องรู้จักรักษาสิทธิเบื้องต้น โดยใส่ใจดูป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการทุกครั้ง เพื่อจะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการที่ไม่มีจริยธรรมทางการค้า หากพบการกระทำผิดดังกล่าว สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 กรมฯ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับ 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นางวัชรีกล่าว
***เมิน"เจ๊เกียว"ดึงรถร่วมวิ่งเสริม
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีนางสุจินดา เชิดชัย หรือ เจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร ออกมาระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์กลุ่มสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมฯ จะไม่ตีรถเปล่าเข้ามารับผู้โดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ เนื่องจากแบกรับภาระต้นทุนค่าน้ำมันไม่ไหว ว่า จากผลการประชุมคณะกรรมการบริหาร บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) มีมติยกเว้นค่าธรรมเนียมการเดินรถ หรือค่าขา ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 6-20 เม.ย.2555 รวม 15 วัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าช่วยเหลือวันละ 2 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 30 ล้านบาท
"กรณีรถร่วมฯ บขส.ของเจ๊เกียว ถือว่าเป็นรถร่วมฯ ส่วนน้อย เพราะยังมีผู้ประกอบการรถร่วมฯ บขส.รายอื่นๆ ที่พร้อมจะให้ความร่วมมือกับ บขส. ในการนำรถเที่ยวเปล่าวิ่งให้บริการประชาชน อีกทั้งหากผู้ประกอบการรถร่วมฯ รายใดไม่ให้ความร่วมมือกับ บขส. ได้สั่งการให้ บขส.นำรายชื่อผู้ประกอบการรถร่วมฯ ที่ไม่ให้ความร่วมมือมารายงานให้ทราบ ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาให้ความช่วยเหลือในครั้งต่อไป"
***กฟผ.ส่งสัญญาณขึ้นค่าเอฟทีงวดพ.ค.-ส.ค.
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที สำหรับรอบเดือนพ.ค.-ส.ค.2555 มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นจากงวดแรกเดือนม.ค.-เม.ย.2555 เพราะราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 260 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 300 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งคิดเป็นต้นทุนเพิ่มประมาณ 20,000 ล้านบาท จึงไม่สามารถแบกรับภาระได้อีก เนื่องจากการตรึงค่าเอฟทีงวดแรก กฟผ.ต้องแบกรับภาระไปแล้ว 8,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติที่จะใช้คำนวณค่าเอฟทีรอบเดือนก.ย.-ธ.ค.2555 ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเป็น 320 บาทต่อล้านบีทียู
"ค่าเอฟทีจะปรับขึ้นเท่าใดในงวดใหม่ อยู่ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือเรกูเลเตอร์ เป็นสำคัญ เพราะกฟผ. เอง คงไม่สามารถแบกรับภาระได้ทั้งหมด และเห็นว่าในระยะยาว ไทยควรจะต้องมองโครงสร้างเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าใหม่ เพราะปัจจุบันไทยพึ่งก๊าซฯ 70% ในการผลิต แต่ประเทศพัฒนาแล้วจะกระจายเชื้อเพลิงอื่นๆ โดยเฉพาะถ่านหินมากถึง 50% ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันแพง ไทยจึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่กระจายเชื้อเพลิง"นายสุทัศน์กล่าว
***โอ้แม่เจ้าน้ำแข้งเปล่าแก้วละ5บาท
วันเดียวกันนี้ "ASTVผู้จัดการรายวัน" ได้สำรวจผลกระทบของมาตราการการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลที่ประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตน้ำแข็ง และมีการปรับขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำแข็งบด และน้ำแข็งหลอด โดยน้ำแข็งบด ได้มีการปรับขยับเพิ่มขึ้นรับค่าแรงเป็นถุงละ 50 บาท ทำให้ร้านขายเครื่องดื่มรายหนึ่งย่านบางลำภู ได้ปรับเพิ่มราคาน้ำแข็งเปล่าเป็นแก้วละ 5 บาท ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานข่าวจากผู้ผลิตน้ำแข็งหลอดบรรจุถุง ที่กำลังจะขอปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกถุงละ 1 บาท
***ปชป.จวกรัฐเหลวแก้ค่าครองชีพ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รมว.พาณิชย์ เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการจัดทำโครงการ โชห่วยช่วยชาติ ที่ใช้งบประมาณสูงถึง 1,320 ล้านบาท เปิดร้านค้าหนึ่งชุมชน ที่มีเป้าหมาย 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ เพราะคงไม่สามารถกระจายได้ทั่วถึง และการขายสินค้าต่ำกว่าท้องตลาด 20% ก็ไม่มีมาตรการป้องกันการเวียนเทียนซื้อแล้วนำไปขายต่อ รัฐบาลควรจะใช้งบประมาณศึกษาโครงสร้างต้นทุนสินค้าที่จำเป็นแล้วหามาตรการช่วยเหลือจะดีกว่า ขณะเดียวกัน ยังผิดพลาดในเรื่องนโยบายพลังงาน ที่ไปเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้สินค้าราคาสูงขึ้น และทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายประชาชน 55% เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารและค่าเดินทาง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ค้าน้ำมันได้แจ้งปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซิน 50 สตางค์ต่อลิตรทุกชนิด ยกเว้น อี 85 ที่ปรับขึ้น 30 สตางค์ต่อลิตร ขณะที่คงราคาขายดีเซล มีผลตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ทำให้ราคาน้ำมันในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้ คือ เบนซิน 91 ลิตรละ 43.08 บาท แก๊สโซฮอล์ 95 เป็น 40.73 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 เป็น 38.98 บาท/ลิตร อี 20 เป็น 37.98 บาท/ลิตร อี 85 เป็น 24.28 บาท /ลิตร และดีเซลคงเดิมที่ 32.33 บาท/ลิตร
การปรับราคาขายปลีกครั้งนี้ สืบเนื่องจากค่าการตลาดในกลุ่มเบนซินลดต่ำกว่า 1 บาทต่อลิตร ทำให้ต้องปรับขึ้นราคา หลังจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับเพิ่มขึ้น และเป็นไปตามราคาน้ำมันตลาดโลกในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ที่สำคัญ เป็นการปรับขึ้นก่อนที่ประชาชนจะเริ่มเดินทางออกต่างจังหวัดเพื่อกลับบ้านและท่องเที่ยว ในช่วงวัดหยุดยาววันจักรี และต่อเนื่องถึงวันสงกรานต์
***"พาณิชย์"ส่งทีมตรวจสินค้ากันโกง
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวถึงการตรวจสอบราคาสินค้าและบริการในช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันจักรี และเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่า กรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการ รวมทั้งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ เช่น ผู้จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค ผู้ให้บริการรับฝากของ บริการรถเข็นสัมภาระตามสถานีขนส่ง และสถานีรถไฟทั่วประเทศ ทั้งสถานีขนส่ง หมอชิต 2 สถานีขนส่งเอกมัย สถานีขนส่งสายใต้ สถานีรถไฟหัวลำโพง สถานีรถไฟบางซื่อ สถานรถไฟบางกอกน้อย สถานีขนส่ง สถานีรถไฟตามต่างจังหวัด และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ จะต้องปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการ เพื่อป้องปรามมิให้มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้า และคิดค่าบริการสูงเกินสมควร ในช่วงเทศกาลที่มีประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง
“ผู้บริโภคต้องรู้จักรักษาสิทธิเบื้องต้น โดยใส่ใจดูป้ายแสดงราคาสินค้าและค่าบริการทุกครั้ง เพื่อจะได้ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการที่ไม่มีจริยธรรมทางการค้า หากพบการกระทำผิดดังกล่าว สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569 กรมฯ จะจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และหากพบการกระทำความผิด จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กรณีไม่ปิดป้ายแสดงราคามีโทษปรับ 10,000 บาท กรณีจำหน่ายสินค้าราคาสูงเกินสมควร กักตุนสินค้าและปฏิเสธการจำหน่ายต้องโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นางวัชรีกล่าว
***เมิน"เจ๊เกียว"ดึงรถร่วมวิ่งเสริม
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีนางสุจินดา เชิดชัย หรือ เจ๊เกียว นายกสมาคมผู้ประกอบการรถโดยสาร ออกมาระบุว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์กลุ่มสมาคมผู้ประกอบการรถร่วมฯ จะไม่ตีรถเปล่าเข้ามารับผู้โดยสารที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพฯ เนื่องจากแบกรับภาระต้นทุนค่าน้ำมันไม่ไหว ว่า จากผลการประชุมคณะกรรมการบริหาร บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) มีมติยกเว้นค่าธรรมเนียมการเดินรถ หรือค่าขา ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 6-20 เม.ย.2555 รวม 15 วัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าช่วยเหลือวันละ 2 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 30 ล้านบาท
"กรณีรถร่วมฯ บขส.ของเจ๊เกียว ถือว่าเป็นรถร่วมฯ ส่วนน้อย เพราะยังมีผู้ประกอบการรถร่วมฯ บขส.รายอื่นๆ ที่พร้อมจะให้ความร่วมมือกับ บขส. ในการนำรถเที่ยวเปล่าวิ่งให้บริการประชาชน อีกทั้งหากผู้ประกอบการรถร่วมฯ รายใดไม่ให้ความร่วมมือกับ บขส. ได้สั่งการให้ บขส.นำรายชื่อผู้ประกอบการรถร่วมฯ ที่ไม่ให้ความร่วมมือมารายงานให้ทราบ ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาให้ความช่วยเหลือในครั้งต่อไป"
***กฟผ.ส่งสัญญาณขึ้นค่าเอฟทีงวดพ.ค.-ส.ค.
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า การพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที สำหรับรอบเดือนพ.ค.-ส.ค.2555 มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นจากงวดแรกเดือนม.ค.-เม.ย.2555 เพราะราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตได้ปรับเพิ่มขึ้นจาก 260 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 300 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งคิดเป็นต้นทุนเพิ่มประมาณ 20,000 ล้านบาท จึงไม่สามารถแบกรับภาระได้อีก เนื่องจากการตรึงค่าเอฟทีงวดแรก กฟผ.ต้องแบกรับภาระไปแล้ว 8,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติที่จะใช้คำนวณค่าเอฟทีรอบเดือนก.ย.-ธ.ค.2555 ก็มีแนวโน้มสูงขึ้นอีกเป็น 320 บาทต่อล้านบีทียู
"ค่าเอฟทีจะปรับขึ้นเท่าใดในงวดใหม่ อยู่ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือเรกูเลเตอร์ เป็นสำคัญ เพราะกฟผ. เอง คงไม่สามารถแบกรับภาระได้ทั้งหมด และเห็นว่าในระยะยาว ไทยควรจะต้องมองโครงสร้างเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าใหม่ เพราะปัจจุบันไทยพึ่งก๊าซฯ 70% ในการผลิต แต่ประเทศพัฒนาแล้วจะกระจายเชื้อเพลิงอื่นๆ โดยเฉพาะถ่านหินมากถึง 50% ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันแพง ไทยจึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่กระจายเชื้อเพลิง"นายสุทัศน์กล่าว
***โอ้แม่เจ้าน้ำแข้งเปล่าแก้วละ5บาท
วันเดียวกันนี้ "ASTVผู้จัดการรายวัน" ได้สำรวจผลกระทบของมาตราการการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาลที่ประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตน้ำแข็ง และมีการปรับขึ้นราคาอย่างต่อเนื่อง ทั้งน้ำแข็งบด และน้ำแข็งหลอด โดยน้ำแข็งบด ได้มีการปรับขยับเพิ่มขึ้นรับค่าแรงเป็นถุงละ 50 บาท ทำให้ร้านขายเครื่องดื่มรายหนึ่งย่านบางลำภู ได้ปรับเพิ่มราคาน้ำแข็งเปล่าเป็นแก้วละ 5 บาท ขณะเดียวกัน ก็มีรายงานข่าวจากผู้ผลิตน้ำแข็งหลอดบรรจุถุง ที่กำลังจะขอปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกถุงละ 1 บาท
***ปชป.จวกรัฐเหลวแก้ค่าครองชีพ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน รมว.พาณิชย์ เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการจัดทำโครงการ โชห่วยช่วยชาติ ที่ใช้งบประมาณสูงถึง 1,320 ล้านบาท เปิดร้านค้าหนึ่งชุมชน ที่มีเป้าหมาย 1 หมื่นแห่งทั่วประเทศ เพราะคงไม่สามารถกระจายได้ทั่วถึง และการขายสินค้าต่ำกว่าท้องตลาด 20% ก็ไม่มีมาตรการป้องกันการเวียนเทียนซื้อแล้วนำไปขายต่อ รัฐบาลควรจะใช้งบประมาณศึกษาโครงสร้างต้นทุนสินค้าที่จำเป็นแล้วหามาตรการช่วยเหลือจะดีกว่า ขณะเดียวกัน ยังผิดพลาดในเรื่องนโยบายพลังงาน ที่ไปเพิ่มต้นทุนการผลิต ทำให้สินค้าราคาสูงขึ้น และทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น เพราะค่าใช้จ่ายประชาชน 55% เป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหารและค่าเดินทาง