“กฟผ.” ส่งสัญญาณฝ่ายการเมือง อย่าดึงราคาพลังงานมาปะการเมืองเหตุแนวโน้มราคาพลังงานสูงถาวรที่สุดจะแบกไม่ได้ ลั่นค่าเอฟทีงวดใหม่ (พ.ค.-ส.ค.) ต้องขยับเหตุไม่สามารถแบกรับได้สูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท ที่รวมเอฟทีเดิมด้วย ตอกย้ำสัดส่วนการผลิต กฟผ.50% เอกชน 50% ถ้านโยบายรัฐลด ส่วน กฟผ.ลงการช่วยดูแลค่าไฟก็จะทำได้น้อยลงด้วย
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ไทยไม่ควรนำการเมืองมาปนกับราคาพลังงานในภาวะราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นถาวร เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มภาระในอนาคต และที่สุดจะหนีไม่พ้นที่ต้องรับภาระเพิ่มอยู่ดี ซึ่งทิศทางราคาพลังงานของโลกปีนี้ทรงตัวระดับสูงค่อนข้างถาวรโดยพิจารณากรณีค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที จากนี้ไปมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงการผลิตสูงถึง 70% ซึ่งสะท้อนจากราคาน้ำมันย้อนหลังจะแพงต่อเนื่องถึงสิ้นปี
ทั้งนี้ ค่าเอฟที รอบเดือน พ.ค.-ส.ค.55 ประเมินจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดแรก (ม.ค.-เม.ย.55) ที่อยู่ระดับ 260 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 300 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งคิดเป็นต้นทุนประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท ดังนั้น กฟผ.คงไม่สามารถแบกรับภาระได้อีกหากรัฐตรึงค่าเอฟทีต่ออีกหลังจากที่งวดแรกตรึงไว้ ทำให้ กฟผ.ต้องแบกภาระไปแล้ว 8,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาก๊าซฯที่จะคำนวณค่าเอฟทีรอบ ก.ย.-ธ.ค.55 คาดว่า ราคาก๊าซก็จะขยับเป็น 320 บาทต่อล้านบีทียู
“เราไม่ควรนำการเมืองมาปนกับราคาพลังงานในสถานการณ์ที่ราคาพลังงานอยู่ในระดับสูงถาวร ยกเว้นราคาพลังงานในช่วงวิกฤติระยะสั้นรัฐอาจจะอุ้มได้บ้างแต่ต้องไม่นาน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่หมดเงินจำนวนมากนั่นเป็นตัวอย่าง ซึ่งกรณีค่าเอฟทีที่สูงประชาชนต้องเข้าใจ และยอมรับความจริง ว่า ราคาน้ำมันที่สะท้อนอยู่ในราคาก๊าซฯนั้นเฉลี่ยสูงถึง 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและกรณีดังกล่าวยังไม่ได้รวมกับความเสี่ยงกรณีความตึงเครียดของอิหร่านซึ่งจะสูงกว่านี้ด้วยซ้ำไป และทั่วโลกก็เผชิญปัญหาเช่นเดียวกัน”นายสุทัศน์กล่าว
สำหรับเอฟทีจะปรับขึ้นเท่าใดในงวดใหม่นั้นคงอยู่ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือเรกูเลเตอร์เป็นสำคัญซึ่งกฟผ.เองคงไม่สามารถแบกรับภาระได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ระยะยาวไทยเองควรจะต้องมองโครงสร้างเชื้อเพลิงเพราะปัจจุบันไทยพึ่งก๊าซฯ 70% ในการผลิตไฟแต่ประเทศพัฒนาแล้วจะกระจายเชื้อเพลิงอื่นๆ โดยเฉพาะถ่านหินมากถึง 50% ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันแพงไทยจึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่กระจายเรื่องเชื้อเพลิง
นายสุทัศน์ยังกล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลอาจมีการเปิดประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ หรือ ไอพีพี รอบใหม่ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ พีดีพี ฉบับใหม่ ว่า คงอยู่ที่รัฐบาลอย่างไรก็ตามนโยบายอดีตที่ผ่านมาได้มองในเรื่องของความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยกำหนดให้การผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 50% ดำเนินการลงทุนโดยกฟผ.และที่เหลืออีก 50%เป็นการลงทุนโดยเอกชนซึ่งหากรัฐบาลลดสัดส่วนการผลิตของ กฟผ.ลงไปคงจะต้องยอมรับความจริงที่กฟผ.คงไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือหรือดูแลเรื่องค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้มากเช่นปัจจุบัน
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงแผนพีดีพีโดยยังต้องนำไปหารือในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งคาดว่า จะเป็นช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ ดังนั้น จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการเปิดประมูลไอพีพีหรือไม่ อย่างไร
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ไทยไม่ควรนำการเมืองมาปนกับราคาพลังงานในภาวะราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้นถาวร เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มภาระในอนาคต และที่สุดจะหนีไม่พ้นที่ต้องรับภาระเพิ่มอยู่ดี ซึ่งทิศทางราคาพลังงานของโลกปีนี้ทรงตัวระดับสูงค่อนข้างถาวรโดยพิจารณากรณีค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ หรือเอฟที จากนี้ไปมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงการผลิตสูงถึง 70% ซึ่งสะท้อนจากราคาน้ำมันย้อนหลังจะแพงต่อเนื่องถึงสิ้นปี
ทั้งนี้ ค่าเอฟที รอบเดือน พ.ค.-ส.ค.55 ประเมินจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับเพิ่มขึ้นจากงวดแรก (ม.ค.-เม.ย.55) ที่อยู่ระดับ 260 บาทต่อล้านบีทียู เป็น 300 บาทต่อล้านบีทียู ซึ่งคิดเป็นต้นทุนประมาณ 20,000 หมื่นล้านบาท ดังนั้น กฟผ.คงไม่สามารถแบกรับภาระได้อีกหากรัฐตรึงค่าเอฟทีต่ออีกหลังจากที่งวดแรกตรึงไว้ ทำให้ กฟผ.ต้องแบกภาระไปแล้ว 8,000 ล้านบาท ขณะที่ราคาก๊าซฯที่จะคำนวณค่าเอฟทีรอบ ก.ย.-ธ.ค.55 คาดว่า ราคาก๊าซก็จะขยับเป็น 320 บาทต่อล้านบีทียู
“เราไม่ควรนำการเมืองมาปนกับราคาพลังงานในสถานการณ์ที่ราคาพลังงานอยู่ในระดับสูงถาวร ยกเว้นราคาพลังงานในช่วงวิกฤติระยะสั้นรัฐอาจจะอุ้มได้บ้างแต่ต้องไม่นาน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่หมดเงินจำนวนมากนั่นเป็นตัวอย่าง ซึ่งกรณีค่าเอฟทีที่สูงประชาชนต้องเข้าใจ และยอมรับความจริง ว่า ราคาน้ำมันที่สะท้อนอยู่ในราคาก๊าซฯนั้นเฉลี่ยสูงถึง 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลและกรณีดังกล่าวยังไม่ได้รวมกับความเสี่ยงกรณีความตึงเครียดของอิหร่านซึ่งจะสูงกว่านี้ด้วยซ้ำไป และทั่วโลกก็เผชิญปัญหาเช่นเดียวกัน”นายสุทัศน์กล่าว
สำหรับเอฟทีจะปรับขึ้นเท่าใดในงวดใหม่นั้นคงอยู่ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานหรือเรกูเลเตอร์เป็นสำคัญซึ่งกฟผ.เองคงไม่สามารถแบกรับภาระได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ระยะยาวไทยเองควรจะต้องมองโครงสร้างเชื้อเพลิงเพราะปัจจุบันไทยพึ่งก๊าซฯ 70% ในการผลิตไฟแต่ประเทศพัฒนาแล้วจะกระจายเชื้อเพลิงอื่นๆ โดยเฉพาะถ่านหินมากถึง 50% ดังนั้น เมื่อราคาน้ำมันแพงไทยจึงได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่กระจายเรื่องเชื้อเพลิง
นายสุทัศน์ยังกล่าวถึงนโยบายที่รัฐบาลอาจมีการเปิดประมูลโครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ หรือ ไอพีพี รอบใหม่ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า หรือ พีดีพี ฉบับใหม่ ว่า คงอยู่ที่รัฐบาลอย่างไรก็ตามนโยบายอดีตที่ผ่านมาได้มองในเรื่องของความมั่นคงของระบบไฟฟ้าโดยกำหนดให้การผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 50% ดำเนินการลงทุนโดยกฟผ.และที่เหลืออีก 50%เป็นการลงทุนโดยเอกชนซึ่งหากรัฐบาลลดสัดส่วนการผลิตของ กฟผ.ลงไปคงจะต้องยอมรับความจริงที่กฟผ.คงไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือหรือดูแลเรื่องค่าไฟฟ้าให้กับประชาชนได้มากเช่นปัจจุบัน
นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปถึงแผนพีดีพีโดยยังต้องนำไปหารือในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งคาดว่า จะเป็นช่วงปลายเดือน เม.ย.นี้ ดังนั้น จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการเปิดประมูลไอพีพีหรือไม่ อย่างไร
