ASTVผู้จัดการรายวัน - “กิตติรัตน์” ลอยแพเอสเอ็มอีหลังค่าแรง 300 บาทมีผล ปัดตั้งกองทุนหมื่นล้านอุ้ม ลั่นต้องทำใจและปรับตัวให้ได้ ยืนยันช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศเพิ่มขึ้น
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทนั้น ต้องให้กำลังใจกับเอกชน และเห็นว่าภาคเอกชนต้องทำใจ ต้องปรับตัวให้ได้ ส่วนกรณีที่หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนหมื่นล้านมาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทนี้ หากเสนอมาที่จริง ตนก็ไม่นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แน่นอน
ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าว ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ปรับขึ้นค่าแรงปุบปับรุนแรงแต่อย่างใด โดยในส่วนของรัฐวิสาหกิจปรับขึ้นไปตั้งแต่เดือนต.ค.54 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐขยับขึ้นตั้งแต่ม.ค. ภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่ได้ประสานความร่วมมือไปหลายแห่งก็ปรับขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว การปรับขึ้นค่าแรงในเดือนเม.ย.นี้ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เมื่อมีการดำเนินการให้มีรายได้มากขึ้น มันก็จะส่งผลให้เป็นกำลังซื้อในประเทศ ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจในประเทศ และขายสินค้าในประเทศ ควรจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามีกำลังซื้อที่ดีขึ้น เศรษฐกิจที่มีความคล่องตัวหลายด้านมากขึ้น
“ผมเคยเป็นนักธุรกิจมาก่อน และนักธุรกิจเมื่อเจอปัญหาดอกเบี้ยแพง รับได้ เจอปัญหาน้ำมันแพง รับได้ เจอปัญหาวัตถุดิบแพง รับได้ ทั้งๆ ที่ค่าแรงนั้น น่าจะแพงที่สุด เพราะเป็นการจ่ายเงินให้คนรอบๆ ตัว แรงงานที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 85 บาทนั้น สามารถเพิ่มความสุขในชีวิตของเขาอีกหน่อย ถือว่ามีความหมาย และเงินที่เขาได้นั้นก็นำไปซื้อสินค้าของเอกชนต่างๆ มันก็เกิดยอดขายที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลก็เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย ทั้งนี้ผมไม่ได้เป็นพวกสังคมนิยม แต่บางเรื่องทำใจยากมาก ว่าอยู่กันได้อย่างไร กับค่าแรงวันละ 215 บาท ซื้อปัจจัย 4 ยังไม่ครบเลย”
ที่ผ่านมาไทยเติบโตจากการส่งออก แต่การอุปโภคบริโภคในประเทศไม่โตเลย และยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลไหนอยากเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อ แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจเปิด ไทยจะมีเงินเฟ้อต่ำกว่าประเทศอื่นด้วยอะไรบ้าง ขณะที่ต้องซื้อน้ำมันทั้งหมด อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะยังไม่พิจารณาการปรับขึ้นภาษีน้ำมันสรรพสามิตดีเซล จนกว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงมา ซึ่งอาจจะพิจารณาดูราคาน้ำมันช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้อีกครั้งก่อน ส่วนการลดหนี้ให้ลูกหนี้ชั้นดีที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาทนั้น คาดว่าภายในเดือนเม.ย.นี้จะนำเสนอเข้าครม.ได้ โดยขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาให้รอบคอบก่อน.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทนั้น ต้องให้กำลังใจกับเอกชน และเห็นว่าภาคเอกชนต้องทำใจ ต้องปรับตัวให้ได้ ส่วนกรณีที่หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลตั้งกองทุนหมื่นล้านมาช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทนี้ หากเสนอมาที่จริง ตนก็ไม่นำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แน่นอน
ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าว ถือเป็นนโยบายของรัฐบาล ที่จะเพิ่มรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ปรับขึ้นค่าแรงปุบปับรุนแรงแต่อย่างใด โดยในส่วนของรัฐวิสาหกิจปรับขึ้นไปตั้งแต่เดือนต.ค.54 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐขยับขึ้นตั้งแต่ม.ค. ภาคเอกชนขนาดใหญ่ที่ได้ประสานความร่วมมือไปหลายแห่งก็ปรับขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว การปรับขึ้นค่าแรงในเดือนเม.ย.นี้ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เมื่อมีการดำเนินการให้มีรายได้มากขึ้น มันก็จะส่งผลให้เป็นกำลังซื้อในประเทศ ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจในประเทศ และขายสินค้าในประเทศ ควรจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามีกำลังซื้อที่ดีขึ้น เศรษฐกิจที่มีความคล่องตัวหลายด้านมากขึ้น
“ผมเคยเป็นนักธุรกิจมาก่อน และนักธุรกิจเมื่อเจอปัญหาดอกเบี้ยแพง รับได้ เจอปัญหาน้ำมันแพง รับได้ เจอปัญหาวัตถุดิบแพง รับได้ ทั้งๆ ที่ค่าแรงนั้น น่าจะแพงที่สุด เพราะเป็นการจ่ายเงินให้คนรอบๆ ตัว แรงงานที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 85 บาทนั้น สามารถเพิ่มความสุขในชีวิตของเขาอีกหน่อย ถือว่ามีความหมาย และเงินที่เขาได้นั้นก็นำไปซื้อสินค้าของเอกชนต่างๆ มันก็เกิดยอดขายที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลก็เก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย ทั้งนี้ผมไม่ได้เป็นพวกสังคมนิยม แต่บางเรื่องทำใจยากมาก ว่าอยู่กันได้อย่างไร กับค่าแรงวันละ 215 บาท ซื้อปัจจัย 4 ยังไม่ครบเลย”
ที่ผ่านมาไทยเติบโตจากการส่งออก แต่การอุปโภคบริโภคในประเทศไม่โตเลย และยืนยันว่าไม่มีรัฐบาลไหนอยากเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อ แต่ด้วยระบบเศรษฐกิจเปิด ไทยจะมีเงินเฟ้อต่ำกว่าประเทศอื่นด้วยอะไรบ้าง ขณะที่ต้องซื้อน้ำมันทั้งหมด อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะยังไม่พิจารณาการปรับขึ้นภาษีน้ำมันสรรพสามิตดีเซล จนกว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงมา ซึ่งอาจจะพิจารณาดูราคาน้ำมันช่วงปลายเดือนเม.ย.นี้อีกครั้งก่อน ส่วนการลดหนี้ให้ลูกหนี้ชั้นดีที่มีมูลหนี้ไม่เกิน 5 แสนบาทนั้น คาดว่าภายในเดือนเม.ย.นี้จะนำเสนอเข้าครม.ได้ โดยขณะนี้ให้เจ้าหน้าที่พิจารณาให้รอบคอบก่อน.
