xs
xsm
sm
md
lg

เอสซีจีแนะธุรกิจลุยAEC ปตท.สบช่องเปิดปั๊มเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน–เอสซีจีแนะบริษัทเอกชนไทยเตรียมความพร้อมเข้าสู่ AEC ในปี 58 โดยติดตามข้อมูลข่าวสาร หาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจ ด้านปตท.สบช่องดูลู่ทางขยายการลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะค้าปลีกน้ำมัน เชื่อข้อจำกัดการลงทุนทำปั๊มน้ำมันบางประเทศลดลง พร้อมเปิดช่องให้บริษัทย่อยในต่างประเทศระดมทุนในตลาดหุ้นเพื่อจัดหาเงินทุนในการขยายธุรกิจ
นายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนาStrategic Financial Journey for AEC จัดโดยTMA วานนี้ (27 มี.ค.) ว่า สิ่งที่ภาคเอกชนควรตระหนักเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 คือ การเตรียมความพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ติดตามข้อมูลข่าวสารต่างๆ รวมถึงการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจเพื่อสร้างความเข้มแข็งและเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นหลังการแข่งขันรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกันหาพันธมิตรทางธุรกิจท้องถิ่นที่เข้าไปลงทุน รวมทั้งเตรียมพร้อมบุคลากร เทคโนโลยี และงบวิจัยและพัฒนา (R&D)ด้วย
โดยเครือซิเมนต์ไทยให้ความสำคัญในการเตรียมพร้อมสู่การเป็น AEC มาตั้งแต่สมัยนายชุมพล ณ ลำเลียง เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ ที่มีความตั้งใจให้อาเซียนเป็นตลาดเดียว (Single Market) เมื่อปี 2535 โดยบริษัทมีกลยุทธ์หลัก คือ การมุ่งผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) และการขยายการลงทุนไปยังอาเซียน โดยมีเป้าหมายในปี 2558
จะเป็นผู้นำธุรกิจในภูมิภาคนี้อย่างยั่งยืน
ปัจจุบัน เครือซิเมนต์ไทยมีการลงทุนในอาเซียนแล้ว 1,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 14% ของสินทรัพย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียที่มีการลงทุนทั้งธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ซีเมนต์และปิโตรเคมี รองลงมา คือ ประเทศเวียดนามที่มีการลงทุนในซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น
นายเชาวลิตกล่าวว่า มูลค่าเงินลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ที่เข้ามาในภูมิภาคอาเซียนเมื่อปี 2553 คิดเป็นมูลค่ารวม 76,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พบว่าเม็ดเงินดังกล่าวมีการลงทุนไทยเพียง 8% ของวงเงิน FDIทั้งหมด ซึ่งเป็นอันดับ 5 รองจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม โดยสาเหตุที่เงินลงทุนจากต่างชาติมาไทยน้อย ส่วนหนึ่งคงมาจากการที่ไทยมีการลงทุนอุตสาหกรรมต่างๆ มาก่อนประเทศอื่นๆ และปัญหาภายในประเทศทำให้ความมั่นใจในการลงทุนของต่างชาติลดลงไป ทั้งๆ ที่ไทยมีศักยภาพในการลงทุน
ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย พบว่ามีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติสูงขึ้นมาก เนื่องจากปัญหาการเมืองในประเทศนิ่งขึ้น มีประชากรและทรัพยากรมาก รวมทั้งมีการเปิดกว้างรับการลงทุนจากต่างประเทศ
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าบริหารการเงิน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.มองโอกาสธุรกิจที่จะเกิดขึ้นหลังไทยเข้าสู่ AEC โดยได้เตรียมพร้อมมาระยะหนึ่งแล้ว จะเห็นได้จากการเข้าไปลงทุนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชาและฟิลิปปินส์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 50 สาขา และเตรียมที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติมอีกในอนาคต หลังข้อจำกัดการลงทุนธุรกิจน้ำมันในบางประเทศสิ้นสุดลง
ส่วนปตท.สผ.ก็มีการลงทุนสำรวจและพัฒนาปิโตรเลียมในสหภาพพม่าและเวียดนาม เป็นต้น โดยปีหน้าปริมาณการผลิตปิโตรเลียมในพม่าจะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากโครงการแหล่งM9 ผลิตเชิงพาณิชย์ได้
ขณะเดียวกันก็มองหากโอกาสที่จะลงทุนธุรกิจอื่นๆ และเลือกลงทุนในประเทศที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งแผนการลงทุนขยายธุรกิจของปตท. มีค่อนข้างมาก และหลากหลาย ขณะเดียวกันการจัดหาเงินทุนก็เปิดกว้างให้บริษัทย่อยจัดหาเงินทุนเอง รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการนำบริษัทย่อยเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศนั้นๆ อาทิ การลงทุนธุรกิจปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนสูง เนื่องจากมีพื้นที่พัฒนาปลูกปาล์มถึง 5 แสนเฮกตาร์ หรือ 1.2 ล้านไร่ จากปัจจุบันที่มีการปลูกปาล์มไปแล้ว 2-3 หมื่นเฮกตาร์และสร้างโรงหีบน้ำมันปาล์มด้วย ก็มีโอกาสที่จะนำบริษัทดังกล่าวเข้าตลาดหุ้นที่อินโดนีเซีย
นายเทวินทร์กล่าวว่า ปตท.มีแผนจะออกหุ้นกู้ 2.5 หมื่นล้านบาทแบ่งเป็น 2 ชุด ชุดแรกจะออกหุ้นกู้วงเงิน 1.5 หมื่นล้านบาทในช่วงพ.ค.2555 และหุ้นกู้ชุดที่ 2 อีก 1 หมื่นล้านบาทในช่วงเดือนก.ค.2555 เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด โดยการออกหุ้นกู้ดังกล่าวนี้ อาจจะไม่มีการจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไป เนื่องจากวงเงินกู้ไม่สูงมาก แต่จะจัดสรรแบบ Loyalty Programที่ให้สิทธิผู้ถือหุ้นกู้เดิมก่อน
กำลังโหลดความคิดเห็น