"จรัมพร" มองตลาดหุ้นไทยซึมยาวถึงสิ้นปี หากยังแก้ปัญหาหนี้ยุโรปไม่ได้ คาดต้องใช้เวลาอีก 1 ไตรมาส และเชื่อว่าหลายประเทศในยโรปจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเอง ขณะที่ "วรพล" ชี้ แนวโน้ม ศก.ยุโรปในปีหน้า ยังไม่แน่นอน และมีความเสี่ยงสูง เพราะการออกกติกามาควบคุมหนี้สาธารณะ และการขาดดุลไม่ให้เกินจากที่มีอยู่ ไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงผลักดันในระดับกว้าง คงทำได้ยาก
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า หากการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปไม่ได้ ตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปถึงสิ้นปี 2554 คาดว่าจะซึมตัว และปริมาณการซื้อขายจะนิ่ง เพราะตลาดไร้ทิศทาง แต่หากมีการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรปได้ และมีความชัดเจนขึ้น คาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศก็จะกลับมาลงทุน
"ช่วงนี้วอลุ่มก็คงแค่นี้ แต่หุ้นไทยยังดีที่ได้แรงซื้อจาก RMF- LTF ก็น่าจะมีผลช่วยตลาดได้บ้าง...House ต่างประเทศคาดการณ์ว่า ต้องใช้เวลา 1 ไตรมาสในการแก้ไขปัญหาหนี้ยุโรป "ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าว
ส่วนแนวโน้มปี 2555 เห็นว่าสถานการณ์หนี้ในยุโรปยังเป็นปัจจัยสำคัญอยู่ โดยโบรกเกอร์ต่างประเทศคาดว่า การแก้ปัญหาน่าจะผ่านไปได้ แต่คงต้องใช้เวลาแก้ปัญหา และเชื่อว่าหลายประเทศในยโรปจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของตัวเอง
พร้อมกันนี้ ยังคาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศจำนวนมหาศาลจะหาตลาดดีๆเพื่อเข้าลงทุน เช่น ตลาดหุ้นไทย ที่มีP/Eต่ำ กำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังดี โดย 9 เดือนที่ผ่านมามีกำไรบจ.รวมกัน 5 แสนกว่าล้านบาทแสดงว่าศัยภาพทำกำไรบจ.ยังดีอยู่ เพราะฉะนั้นมองว่าตลาดหุ้นไทย เป็นหนึ่งในตลาดที่น่าสนใจในปีหน้า
นายจรัมพร กล่าวว่า ในปี 2555 ตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าระดมทุนผ่านหุ้นใหม่ (IPO) จำนวน 1.2 แสนล้านบาท รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์จากปี 2554 ที่ทำได้ไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้จำนวน 1 แสนล้านบาท เพราะเห็นว่าตลาด IPO ในปีหน้า น่าจะได้รับความสนใจหลังจากยุโรปแก้ไขปัญหานี้ได้ ซึ่งจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างน้อย 2 ปี แต่ต้องดูเป็นระยะๆไป ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถือว่าทรงตัว
ขณะที่การแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ฯ คงจะไม่ดำเนินการต่อ ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล ส่วนแผนงานอื่นของตลาด ยังดำเนินการต่อไป ได้แก่ การเปิดเสรีการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่จะเริ่มในเดือนมกราคม 2555
ด้านนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปีหน้า ยังคงมีความผันผวนอยู่ ปัญหาวิกฤตหนี้ในกลุ่มยูโรโซน ยังคงมีต่อไปในปี 2555 นี้ เนื่องจาก กลุ่มประเทศยุโรป ยังมีความเสี่ยงจากปัญหาหนี้สาธารณะของแต่ละประเทศที่มีเป็นจำนวนมาก และการช่วยเหลือระหว่างกันภายในกลุ่มประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศที่ประสบปัญหาทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้ ที่มีความแตกต่างกัน และต้องระมัดระวังความผันผวนของปัญหาเศรษฐกิจยุโรป ที่มีทีท่าว่าจะมีปัญหามากกว่าเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ในข้างหน้านี้
ทั้งนี้ มองว่า ปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐ น่าจะมีแนวทางค่อนข้างชัดเจน ส่วนกลุ่มยุโรป ยังมีความไม่แน่นอน ไม่ชัดเจนในแนวทางแก้ปัญหา รวมถึงปัญหาภายในประเทศ ที่ยังมีหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณค่อนข้างสูง ดังนั้น การออกกติกามาควบคุมหนี้สาธารณะ และการขาดดุลไม่ให้เกินจากที่มีอยู่ไม่ใช่เรื่องง่ายการกำกับ หรือผลักดันในระดับกว้าง คงทำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม การที่กลุ่มผู้นำยุโรป พยายามที่จะแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ และวินัยการคลังนั้น มองว่า การกำกับและเข้าไปดูแล ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงว่า จะมีอำนาจเข้าไปจัดการในแต่ละประเทศสมาชิกได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร ซึ่งต้องติดตามดูต่อไป
