ความเสี่ยง (Risk) เมื่อพูดถึงคำนี้หลายคนอาจไม่อยากยุ่งเกี่ยวซักเท่าไร แต่อาจมีหลายคนไม่น้อยที่หลงใหลในคำๆนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่มีกิจกรรมเสี่ยงชีวิตอย่างบันจี้จัมพ์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอย่างแน่นอน ในด้านการลงทุนก็มีทั้งคนที่ไม่ชอบความเสี่ยง (Risk Averse) และผู้ที่รักความเสี่ยง (Risk Lover)เช่นกัน โดยแต่ละระดับความเสี่ยง จะมีผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน (Expected Return)เพิ่มขึ้นตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ความเสี่ยงในการลงทุนนั้นแยกออกมาได้หลายประเภท เช่น Market Risk คือ ความเสี่ยงจากความผันผวนของมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้ลงทุนไป หรือ Credit Risk เป็นความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากคู่สัญญามีโอกาสบิดพลิ้วสัญญาในการชำระเงิน เป็นต้น แต่ในวันนี้จะขอพูดถึง ความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่งที่สำคัญต่อการลงทุนไม่แพ้ความเสี่ยงประเภทอื่นๆ นั่นคือ Country Risk
Country Risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆภายในประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากความมั่นคงทางการเมือง , ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับนโยบายต่างๆในการบริหารประเทศนั้นๆ หรือความเสี่ยงทางสภาวะเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน เป็นต้น ความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนด้วยกันทั้งสิ้น
หากประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดปัญหาภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นส่วนของความมั่นคงทางการเมือง ,เศรษฐกิจภายในประเทศ หรือการออกนโยบายต่างๆในการยับยั้งหรือกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ Country Risk จากประเทศหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบอย่างแพร่หลายต่อไปยังประเทศอื่นๆ ตัวอย่างซึ่งอาจเห็นได้อย่างชัดเจนในขณะนี้ คือ ความผันผวนที่เกิดในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก จากข่าวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆจากประเทศในกลุ่มยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศจีน เป็นต้น
สำหรับการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ Country Risk นั้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันกับการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนอื่นๆ เนื่องจาก Country Risk มีส่วนกำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งจากด้าน Demand เช่น สินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทอาจพึ่งพากำลังซื้อของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นหลัก และต้องอาศัยสภาวะเศรษฐกิจ หรือปัจจัยด้านอื่นๆภายในประเทศนั้นๆในการกำหนดราคาสินค้า เช่น ยางพาราที่ปัจจุบันพึ่งพาประเทศจีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ เป็นต้น หรือทางด้าน Supply ประเภทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทก็อาจมีนโยบายในประเทศนั้นๆ ที่อาจมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกก็เป็นได้ เช่น นโยบายรับจำนำข้าว ก็อาจมีผลต่อระดับราคาข้าวในตลาดโลก เป็นต้น หรือปัญหาการเมืองภายในประเทศก็มีผลเช่นกัน เช่น การสู้รบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางก็อาจกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันได้ เป็นต้น
ในภาวะที่การติดต่อสื่อสารรวมทั้งการลงทุนข้ามชาติมีความสะดวกรวดเร็ว เสมือนทั้งโลกรวมเป็นหนึ่ง (Globalization) Country Risk จึงเป็นความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดไม่ว่าจะเป็น Country Risk หรือความเสี่ยงในด้านอื่นๆ หากเราเข้าใจและสามารถจัดการความเสี่ยงต่างๆอย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีแนวทางต่างๆเพื่อที่จะรับมือในกรณีที่ความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้นจริง เราก็อาจไม่ต้องหลีกหนีความเสี่ยงที่อาจยอมรับได้ และอาจได้พบโอกาสใหม่ๆในการลงทุน ซึ่งมาพร้อมผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นก็เป็นได้
ความเสี่ยงในการลงทุนนั้นแยกออกมาได้หลายประเภท เช่น Market Risk คือ ความเสี่ยงจากความผันผวนของมูลค่าสินทรัพย์ที่ได้ลงทุนไป หรือ Credit Risk เป็นความเสี่ยงทางการเงินที่เกิดจากคู่สัญญามีโอกาสบิดพลิ้วสัญญาในการชำระเงิน เป็นต้น แต่ในวันนี้จะขอพูดถึง ความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่งที่สำคัญต่อการลงทุนไม่แพ้ความเสี่ยงประเภทอื่นๆ นั่นคือ Country Risk
Country Risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆภายในประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากความมั่นคงทางการเมือง , ความเสี่ยงที่เกี่ยวกับนโยบายต่างๆในการบริหารประเทศนั้นๆ หรือความเสี่ยงทางสภาวะเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน เป็นต้น ความเสี่ยงต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนด้วยกันทั้งสิ้น
หากประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดปัญหาภายในประเทศไม่ว่าจะเป็นส่วนของความมั่นคงทางการเมือง ,เศรษฐกิจภายในประเทศ หรือการออกนโยบายต่างๆในการยับยั้งหรือกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ Country Risk จากประเทศหนึ่งก็อาจส่งผลกระทบอย่างแพร่หลายต่อไปยังประเทศอื่นๆ ตัวอย่างซึ่งอาจเห็นได้อย่างชัดเจนในขณะนี้ คือ ความผันผวนที่เกิดในตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลก จากข่าวที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ หรือรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆจากประเทศในกลุ่มยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศจีน เป็นต้น
สำหรับการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ Country Risk นั้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันกับการลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนอื่นๆ เนื่องจาก Country Risk มีส่วนกำหนดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งจากด้าน Demand เช่น สินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทอาจพึ่งพากำลังซื้อของประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นหลัก และต้องอาศัยสภาวะเศรษฐกิจ หรือปัจจัยด้านอื่นๆภายในประเทศนั้นๆในการกำหนดราคาสินค้า เช่น ยางพาราที่ปัจจุบันพึ่งพาประเทศจีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ เป็นต้น หรือทางด้าน Supply ประเภทผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์บางประเภทก็อาจมีนโยบายในประเทศนั้นๆ ที่อาจมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกก็เป็นได้ เช่น นโยบายรับจำนำข้าว ก็อาจมีผลต่อระดับราคาข้าวในตลาดโลก เป็นต้น หรือปัญหาการเมืองภายในประเทศก็มีผลเช่นกัน เช่น การสู้รบในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางก็อาจกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันได้ เป็นต้น
ในภาวะที่การติดต่อสื่อสารรวมทั้งการลงทุนข้ามชาติมีความสะดวกรวดเร็ว เสมือนทั้งโลกรวมเป็นหนึ่ง (Globalization) Country Risk จึงเป็นความเสี่ยงอีกประเภทหนึ่งที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม แต่สิ่งสำคัญเหนืออื่นใดไม่ว่าจะเป็น Country Risk หรือความเสี่ยงในด้านอื่นๆ หากเราเข้าใจและสามารถจัดการความเสี่ยงต่างๆอย่างเป็นระบบ รวมทั้งมีแนวทางต่างๆเพื่อที่จะรับมือในกรณีที่ความเสี่ยงนั้นเกิดขึ้นจริง เราก็อาจไม่ต้องหลีกหนีความเสี่ยงที่อาจยอมรับได้ และอาจได้พบโอกาสใหม่ๆในการลงทุน ซึ่งมาพร้อมผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นก็เป็นได้
