ต้องยอมรับว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ ค่อนข้างผันผวนเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนน่าจะมาจากปัญหาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยปัญหาเศรษฐกิจสหรัฯและปัญหาหนี้เสียของยุโรปยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างล้าช้า ในขณะที่ประเทศเกิดใหม่ไม่ว่าจะเป็นจีน หรืออินเดีย ยังต้องเผชิญกับปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวทำให้มีการใช้มาตรการสกัดกั้นและควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้น นอกจากปัจจัยโลกแล้วยังมีปัจจัยภายในประเทศอย่างความกังวลเรื่องการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น การจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงนโยบายรัฐบาลในการบริหารประเทศ อีกด้วย
แม้จะว่าตลาดหุ้นจะผันผวน ณ ช่วงเวลานี้ แต่การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นเหมาะกับการลงทุนระยะยาว นักลงทุนจึงควรจะมองไปข้างหน้าดังนั้นเราจะมา Update ทิศทางตลาดหุ้นไทยจากบลจ.ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เริ่มกันที่
สมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มผันผวนในช่วงไตรมาส 3 แต่ยังคงคาดการณ์ว่าจะกลับมาดีขึ้นในไตรมาส 4 ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ มีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงเดือน ส.ค.54 เนื่องจากเป็นช่วงที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวใหม่อีกครั้ง โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสหรัฐฯ จีน และ ญี่ปุ่น รวมถึง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัว
ด้านปัจจัยการเมืองในประเทศ คาดว่าจะมีผลกระทบในเชิงลบต่อตลาดในช่วง 1 เดือนก่อนและหลังการเลือกตั้ง และหลังจากนั้นคาดว่าจะมีความชัดเจนในเรื่องรัฐบาลใหม่ ความกังวลในกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ต่อมาตรการ QE2 จะมีความชัดเจนขึ้นในเดือน ก.ค.โดยในกรณีที่ทางธนาคารกลางสหรัฐฯไม่ต่ออายุมาตรการ QE2 อาจส่งผลกระทบให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์
อย่างไรก็ตามเราประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินเป็นแบบเข้มงวดโดยทันทีภายในปี 2554 ซึ่งทำให้การแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ปัญหาวิกฤตหนี้ยุโรปคาดว่าจะดำเนินต่อไปและกระทบต่อตลาดฯ แต่คาดว่าจะไม่รุนแรงเท่ากับที่เกิดขึ้นกับกรีซ เนื่องจากตลาดฯเริ่มรับรู้แล้วว่าประเทศกรีซ โปรตุเกส และ ไอร์แลนด์ มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ด้านเงินทุนต่างประเทศยังคงมีแนวโน้มไหลเข้าตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก ผลการดำเนินงานของบจ.ยังคงสามารถเติบโตได้ 15% โดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับภูมิภาคเอเชีย
และภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตได้จากการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ถึงแม้จะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกบ้างก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยระยะสั้น โดยนักลงทุนต่างชาติมีมุมองในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทยในแง่ของประเทศที่มีการบริโภคที่แข็งแกร่ง โดยรวมคาดว่าดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้สูงสุดในช่วงปลายปี 2554 ที่ 1,200 จุด
ขณะที่ต่อ อินทรวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงจะเห็นการปรับตัวลงค่อนข้างมาก ซึ่งมาจากปัญหาภาพรวมจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาภายในประเทศไทยเอง ซึ่งภาพรวมเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจหลายตัวที่ประกาศออกมาค่อนข้างหน้าผิดหวัง
ในขณะที่ตัวเลขสินเชื่อใหม่ของประเทศจีนเองก็ลดลงจากการที่จีนเองออกมาตรการที่เข้มงวดเข้ามาควบคุมปัญหาทางการเงิน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงรวมถึงไทย แต่ในส่วนของไทยเองนั้นอาจจะปรับลดกว่าประเทศเพื่อนบ้างอย่างอินโดนีเซีย หรือ ฟิลิปินส์
อย่างไรก็ตามปัญหาภายในประเทศก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีฯปรับตัวลดลงเนื่องจากการขาดปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน ประกอบกับใกล้จะมีการเลือกตั้งในประเทศส่งผลให้เกิดความกังวลมากขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างชาติจึงขายหุ้นทำกำไรก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์การเลือกตั้ง เราคาดว่าหากมีการเลือกตั้งการจัดตั้งรัฐบาลและการประกาศนโยบายก็น่าจะทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
"Downside ที่เรามองไว้น่าจะหลุด 1,000 จุด แต่ไม่เกิน 900 จุด เคลื่อนไหวในกรอบแคบ ซึ่งหากมีปัจจัยบวกเข้ามาพยุงตลาดดัชนีฯก็อาจจะมีการรีบาวด์ได้ อย่างไรก็ตามเรายังคงเป้าดัชนีฯไว้ที่ 1,200 จุดเช่นเดิม เนื่องจากตัวพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากปัญหาภายในประเทศคลี่คลาย ปัจจัยจากเศรษฐกิจโลกกลับเข้ามาหนุนสิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ตลาดหุ้นเติบโตได้อีก"
ทั้งนี้นักวิเคราะห์ทั้งในประเทศและต่างประเทศยังเห็นว่าประเทศไทยยังมี Earning Growth ค่อนข้างสูง ประกอบกับ P/E หุ้นราคาค่อนข้างถูก พื้นฐานยังเติบโตได้ ทำให้นักลงทุนทั้งไทยและเทศยังกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้อีก นอกจากนี้เชื่อว่าความกังวลเกี่ยวการเมืองไทยน่าจะคลี่คลายได้
เหมาะเก็บ LTF-RMF เข้าพอร์ต
ส่วนรายงานจากบลจ.ไทยพาณิชย์ ระบุว่า การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาในระยะนี้และแรงกดดันในการเทขาย อาจทำให้หุ้นหลายตัวในหลายกลุ่มธุรกิจที่มีคุณภาพพื้นฐานดี ฐานะการเงินมั่นคงดีและจ่ายเงินปันผลสูง มีราคาปรับลดลงมามากจนราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก เมื่อเทียบผลประกอบการที่เติบโตในปีนี้นับว่าเป็นระดับที่น่าลงทุน จึงเป็นโอกาสในการทยอยเลือกซื้อสะสมหุ้นเพื่อผลตอบแทนระยะยาวรวมทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ลงทุนในหุ้นด้วย
โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยจากนี้ไป การลงทุนควรต้องใช้กลยุทธ์ Bottom up รวมทั้งการคัดเลือกหุ้นและใส่น้ำหนักการลงทุนแบบ Selective เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจและบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคง รวมไปถึงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของการบริโภคการลงทุนในประเทศ แนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง มีการเติบโตโดยการซื้อกิจการ รวมกิจการหรือมีการพลิกฟื้นกิจการ มีการจ่ายเงินปันผลสูงหรือมีระดับราคาหุ้นที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก