บลจ.ไทยพาณิชย์ ประเมินดัชนีหุ้นไทยผันผวนต่ออีก 1 เดือน ก่อนจะรีบาวน์กลับช่วงครึ่งปีหลัง และไปถึง 1,200 จุดได้ ภายใต้การเติบโตบริษัทจดทะเบียน 20% แนะเป็นจังหวะดี เข้าเก็บ 2 กองทุนประหยัดภาษี "LTF-RMF"
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยรายงานภาวะตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดในปีนี้ที่ดัชนีราคาหุ้นระดับ 1,100 จุด ในช่วงเดือนเมษายนและต้นพฤษภาคม 2554 และได้ปรับลดลงมาค่อนข้างมากและรวดเร็วโดยมีสาเหตุหลักมาจากความกังวลในหลายปัจจัยและในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งได้แก่ ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกรีซ มาตรการเพิ่มสภาพคล่อง (QE2) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดในช่วงปลายเดือนมิถุนายน รวมไปถึงเรื่องความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองในประเทศในช่วงใกล้เลือกตั้ง
ทั้งนี้ การที่ดัชนีราคาหุ้นไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับใกล้ 1,000 จุด หรือลดจากระดับสูงสุดลงมาร้อยละ 8 และยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนีราคาหุ้นช่วงต้นปี มองว่าปัจจัยความกังวลในระยะสั้นข้างต้นอาจส่งผลต่อไปในอีก 1 เดือนข้างหน้า ดังนั้น แรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศอาจคงมีอยู่ แต่หากพิจารณาปริมาณการซื้อขายสะสมจากต้นปีนี้มาจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2554 พบว่านักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นที่ซื้อสะสมไปค่อนข้างมาก ประมาณ 8,000 ล้านบาท ทำให้สถานะของนักลงทุนต่างประเทศจากผู้ซื้อสุทธิกลายเป็นผู้ขายสุทธิแทน
อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้ายาวกว่านั้น คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังสภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นจะปรับดีขึ้น การแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกรีซและมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกเพิ่มเติมที่คาดว่าจะชัดเจนมากขึ้นเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตต่อเนื่องอยู่ในเกณฑ์ดี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายกลุ่มธุรกิจและหลายบริษัทยังคงมีการเติบโตและมีผลกำไรดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรก คาดว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตประมาณร้อยละ 20 ในปีนี้ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงเป็นช่วงขาขึ้นแบบผันผวน โดยคาดว่าดัชนีราคาหุ้นฯ ยังคงขึ้นไปได้ถึงระดับ 1,200 จุด
ขณะเดียวกัน การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาในระยะนี้และแรงกดดันในการเทขาย อาจทำให้หุ้นหลายตัวในหลายกลุ่มธุรกิจที่มีคุณภาพพื้นฐานดี ฐานะการเงินมั่นคงดีและจ่ายเงินปันผลสูง มีราคาปรับลดลงมามากจนราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก เมื่อเทียบผลประกอบการที่เติบโตในปีนี้นับว่าเป็นระดับที่น่าลงทุน จึงเป็นโอกาสในการทยอยเลือกซื้อสะสมหุ้นเพื่อผลตอบแทนระยะยาวรวมทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ลงทุนในหุ้นด้วย
"แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจากนี้ไป การลงทุนควรต้องใช้กลยุทธ์ Bottom up รวมทั้งการคัดเลือกหุ้นและใส่น้ำหนักการลงทุนแบบ Selective เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจและบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคง รวมไปถึงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของการบริโภคการลงทุนในประเทศ แนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง มีการเติบโตโดยการซื้อกิจการ รวมกิจการหรือมีการพลิกฟื้นกิจการ มีการจ่ายเงินปันผลสูงหรือมีระดับราคาหุ้นที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก"รายงานระบุ
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยรายงานภาวะตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดในปีนี้ที่ดัชนีราคาหุ้นระดับ 1,100 จุด ในช่วงเดือนเมษายนและต้นพฤษภาคม 2554 และได้ปรับลดลงมาค่อนข้างมากและรวดเร็วโดยมีสาเหตุหลักมาจากความกังวลในหลายปัจจัยและในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งได้แก่ ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกรีซ มาตรการเพิ่มสภาพคล่อง (QE2) ของสหรัฐฯ ซึ่งจะครบกำหนดในช่วงปลายเดือนมิถุนายน รวมไปถึงเรื่องความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองในประเทศในช่วงใกล้เลือกตั้ง
ทั้งนี้ การที่ดัชนีราคาหุ้นไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับใกล้ 1,000 จุด หรือลดจากระดับสูงสุดลงมาร้อยละ 8 และยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าดัชนีราคาหุ้นช่วงต้นปี มองว่าปัจจัยความกังวลในระยะสั้นข้างต้นอาจส่งผลต่อไปในอีก 1 เดือนข้างหน้า ดังนั้น แรงเทขายของนักลงทุนต่างประเทศอาจคงมีอยู่ แต่หากพิจารณาปริมาณการซื้อขายสะสมจากต้นปีนี้มาจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2554 พบว่านักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นที่ซื้อสะสมไปค่อนข้างมาก ประมาณ 8,000 ล้านบาท ทำให้สถานะของนักลงทุนต่างประเทศจากผู้ซื้อสุทธิกลายเป็นผู้ขายสุทธิแทน
อย่างไรก็ตาม หากมองไปข้างหน้ายาวกว่านั้น คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังสภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นจะปรับดีขึ้น การแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศกรีซและมาตรการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโลกเพิ่มเติมที่คาดว่าจะชัดเจนมากขึ้นเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตต่อเนื่องอยู่ในเกณฑ์ดี ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายกลุ่มธุรกิจและหลายบริษัทยังคงมีการเติบโตและมีผลกำไรดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรก คาดว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเติบโตประมาณร้อยละ 20 ในปีนี้ ทำให้คาดการณ์ได้ว่าตลาดหุ้นไทยช่วงที่เหลือของปีนี้ ยังคงเป็นช่วงขาขึ้นแบบผันผวน โดยคาดว่าดัชนีราคาหุ้นฯ ยังคงขึ้นไปได้ถึงระดับ 1,200 จุด
ขณะเดียวกัน การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาในระยะนี้และแรงกดดันในการเทขาย อาจทำให้หุ้นหลายตัวในหลายกลุ่มธุรกิจที่มีคุณภาพพื้นฐานดี ฐานะการเงินมั่นคงดีและจ่ายเงินปันผลสูง มีราคาปรับลดลงมามากจนราคาหุ้นถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก เมื่อเทียบผลประกอบการที่เติบโตในปีนี้นับว่าเป็นระดับที่น่าลงทุน จึงเป็นโอกาสในการทยอยเลือกซื้อสะสมหุ้นเพื่อผลตอบแทนระยะยาวรวมทั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ลงทุนในหุ้นด้วย
"แนวโน้มตลาดหุ้นไทยจากนี้ไป การลงทุนควรต้องใช้กลยุทธ์ Bottom up รวมทั้งการคัดเลือกหุ้นและใส่น้ำหนักการลงทุนแบบ Selective เน้นลงทุนในกลุ่มธุรกิจและบริษัทที่มีฐานะการเงินมั่นคง รวมไปถึงได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตของการบริโภคการลงทุนในประเทศ แนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่คาดว่าจะยังอยู่ในระดับสูง มีการเติบโตโดยการซื้อกิจการ รวมกิจการหรือมีการพลิกฟื้นกิจการ มีการจ่ายเงินปันผลสูงหรือมีระดับราคาหุ้นที่ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก"รายงานระบุ