นายวิลเลี่ยม ฟาง กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า ในปี 55 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ( มาร์เก็ตแชร์) เติบโต 10% จากปี 54 ที่อยู่ในระดับ 5.23% โดยจะมาจากปริมาณการซื้อขายและจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น จากปีก่อนที่มีบัญชีลูกค้ามากกว่า 38,000 บัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่เคลื่อนไหวสม่ำเสมอกว่า 40% บริษัทจะใช้กลยุทธด้วยการให้เจ้าหน้าที่การตลาด(มาร์เก็ตติ้ง)ลงพื้นที่เพื่อหาลูกค้าเพิ่มทุกวัน โดยปัจจุบัน บริษัทมีสัดส่วนลูกค้ารายย่อย 80% ลูกค้าสถาบันในประเทศ-ต่างประเทศ 20%
ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมปี 55 นั้น บริษัทคาดว่าน่าเป็นไปตามภาวะตลาดที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศทั้งปัญหาหนี้สินยุโรป ส่วนปัญหาภายในประเทศยังมีความกังวลจากสถานการณ์น้ำท่วม จึงคาดว่ามูลค่าการซื้อขายในปีนี้คงไม่มาก ซึ่งสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้น 40% ส่วนอีก 60% เป็นรายได้จากการเสนอขายตราสารอนุพันธ์(DW) การเป็นตัวกลางซื้อขายตราสารหนี้ให้ลูกค้า และ Prop.Trade
สำหรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นที่มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 55 นั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะค่าคอมมิชชั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยอยู่ระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 0.10-0.17% เนื่องจากลูกค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับค่าคอมมิชชั่น แต่จะสนใจที่ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า จึงไม่มีการต่อรองค่าคอมมิชชั่น โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาวจะพิจารณาจากกำไรจากการลงทุน (Capital gain)
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยถึงการควบรวมกับโบรกเกอร์รายอื่นว่า บริษัทไม่ได้ปิดโอกาสในการควบรวมกิจการกับโบรกเกอร์รายอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้มีการเจรจาร่วมกันบ้างหลายราย แต่ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งบริษัทมองว่าการควบรวมกิจการต้องพิจารณาให้รอบคอบว่ารวมแล้วต้องดีขึ้น สามารถเพิ่มช่องทางขยายฐานลูกค้า ช่วยเสริมธุรกิจให้เข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ขณะที่เป้าหมายรายได้รวมปี 55 นั้น บริษัทคาดว่าน่าเป็นไปตามภาวะตลาดที่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศทั้งปัญหาหนี้สินยุโรป ส่วนปัญหาภายในประเทศยังมีความกังวลจากสถานการณ์น้ำท่วม จึงคาดว่ามูลค่าการซื้อขายในปีนี้คงไม่มาก ซึ่งสัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจากค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้น 40% ส่วนอีก 60% เป็นรายได้จากการเสนอขายตราสารอนุพันธ์(DW) การเป็นตัวกลางซื้อขายตราสารหนี้ให้ลูกค้า และ Prop.Trade
สำหรับการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นที่มีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 55 นั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัท เพราะค่าคอมมิชชั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยอยู่ระดับใกล้เคียงปีก่อนที่ 0.10-0.17% เนื่องจากลูกค้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับค่าคอมมิชชั่น แต่จะสนใจที่ผลตอบแทนการลงทุนมากกว่า จึงไม่มีการต่อรองค่าคอมมิชชั่น โดยเฉพาะนักลงทุนระยะยาวจะพิจารณาจากกำไรจากการลงทุน (Capital gain)
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยถึงการควบรวมกับโบรกเกอร์รายอื่นว่า บริษัทไม่ได้ปิดโอกาสในการควบรวมกิจการกับโบรกเกอร์รายอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ ขณะนี้มีการเจรจาร่วมกันบ้างหลายราย แต่ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งบริษัทมองว่าการควบรวมกิจการต้องพิจารณาให้รอบคอบว่ารวมแล้วต้องดีขึ้น สามารถเพิ่มช่องทางขยายฐานลูกค้า ช่วยเสริมธุรกิจให้เข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ