xs
xsm
sm
md
lg

หนุนปิดปากแจงเหตุปฏิวัติ แดงป้อง“บิ๊กบัง” "ประสงค์"จวกปรองดองเข้าขั้นเลวที่สุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - เพื่อไทย-เสื้อแดงออกโรงหนุนอดีตประธานคมช. "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ไม่ต้องตอบเหตุผลปฏิวัติรัฐบาลไทยรักไทย “ทักษิณ” ได้ทีอ้างอ้าง "บิ๊กบัง" การตั้งคตส.ไม่เหมาะ เข้าทางปรองดองสถาบันพระปกเกล้า นิวัฒน์ธำรง”ชี้ทักษิณไม่ใช่หมู "ประสงค์” จวกวิจัยปรองดอง เข้าขั้น“เลวที่สุด ขณะที่ศาลจังหวัดพลสั่งจำคุกเสื้อแดง 2 ปี กรณีร่วมกันชุมนุมปิดถนนมิตรภาพสกัดทหารเข้ากทม.เพื่อดูแลม็บราชประสงค์

จากกรณีที่หลายฝ่ายได้ตั้งคำถามต่อพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ออกมาเปิดเผย ว่าใครอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร รวมทั้งเรียกร้องให้มีการทบทวนข้อเสนอปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า แต่กลับไปรับการปฏิเสธ และประกาศเดินหน้าต่อนั้น

วานนี้ (22 มี.ค.) ที่รัฐสภา กมธ.วิสามัญปรองดอง เสียงข้างน้อยในสัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง เข้ายื่นหนังสือต่อพล.อ.สนธิ เพื่อขอให้เชิญประชุมกมธ.เพื่อทบทวนรายงานของกมธ.ให้มีข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน และเกิดความเห็นพ้องร่วมกันของกมธ.

พล.อ.สนธิ กล่าวว่าตนมีความตั้งใจในการปรองดอง แต่หากมีเงื่อนไขจะต้องหารือเพื่อให้ความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งตอนนี้ในส่วนของเอกสารที่จะเป็นผลสรุปเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงการหารือกันเพื่อนำส่งข้อสรุปต่อสภาผู้แทนราษฎร ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรขึ้นอยู่กับสภาฯลงมติ ทั้งนี้พลเอกสนธิไม่ได้ยืนยันเกี่ยวกับกรอบเวลาการสรุปผลของคณะกรรมาธิการ

ส่วนเรื่องการล้มคดีของคณะกรรมการตรวจสอบที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)นั้น พลเอกสนธิ กล่าวว่า จะมีการหารือกัน โดยไม่มีการลงมติ เรื่องนี้ยืนยันว่าไม่มีใครมาชี้นำตนได้และไม่ใช่ความคิดของคนๆเดียว แต่เป็นความคิดของคณะกรรมาธิการฯร่วมกัน ซึ่งการตั้งคตส.มานั้นตนไม่ได้เขียนด้วยมือและลบด้วยเท้า ทั้งนี้อยากให้ทุกฝ่ายมองถึงเรื่องปัจจุบันมากกว่าอดีต ความจริงบางอย่างไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะความปรองดองจะไม่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ยืนยันว่าทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติรัฐนิติธรรม ส่วนที่ภรรยาของพลเอกร่มเกล้า เรียกร้องหาความจริงนั้นก็มีสิทธิ์ทำได้

**แม้วบอก"บิ๊กบัง" เห็นด้วยตั้งคตส.ไม่ถูกต้อง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ นสพ.ไทยรัฐ ผ่านทางโทรศัพท์ถึงแนวทางการสร้างความปรองดองที่มีความคืบหน้าไปในระดับหนึ่ง ว่า ส่วนตัวไม่อยากให้การสร้างความปรองดองต้องมายึดติดกับเรื่องของตน เพราะเป็นส่วนหนึ่งของความปรองดองที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น และตนก็ไม่ใช่เป็นต้นเหตุของการสร้างความขัดแย้ง แต่มีคนเอาตนไปอยู่ในความขัดแย้งที่พยายามสร้างขึ้นมา ซึ่งแค่อยากร้องเรียนขอความเป็นธรรมในส่วนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาโดยไม่อยากเห็นความขัดแย้งอีกต่อไป

หลังจากที่ได้มีการค้นหาข้อเท็จจริงและวิเคราะห์ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว พล.อ.สนธิ ก็เห็นด้วยว่า ที่ผ่านมาการตั้งคณะกรรมการ คตส.เป็นการไม่ถูกต้อง และไม่เป็นการยุติธรรม อาศัยอำนาจจากการยึดอำนาจเข้ามาตรวจสอบ ไม่เป็นธรรมตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง จึงไม่สามารถที่จะยอมรับได้ เปรียบเอาปืนมายัดใส่มือคนไม่ได้ยิง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ขั้นตอนและวิธีการสืบสวนสอบสวนไปถึงการวินิจฉัย เป็นการพิจารณาตัดสินเอาจากเอกสาร ไม่มีการพิจารณาตามขั้นตอนและกระบวนการที่เป็นธรรม ผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถที่จะชี้แจงถึงข้อเท็จจริง เป็นการพิจารณาลับหลังทั้งหมด แตกต่างจากกระบวนการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความทั้งทางแพ่งและทางอาญา และโทษที่ถูกพิพากษาทางแพ่งก็ได้ข้อยุติแล้วว่าไม่มีความผิด สั่งคืนทรัพย์สินเป็นที่เรียบร้อย คดีความทางอาญากลับไม่มีการแก้ไข ก็ไม่ยุติธรรมและขัดแย้งกันเอง

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวอีกว่า เมื่อการเสนอสำนวนจาก คตส.ไปสู่กระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรม ถูกต้อง ข้อมูลที่ได้รับไม่ถูกต้อง มีคนถูกยิงตายแล้วเอาปืนมาใส่มือคนไม่ได้ยิง ไม่มีการพิสูจน์หลักฐานแล้วตัดสินว่าผิด ก็ไม่เป็นธรรม รอปรองดองชัด ยังไม่รีบกลับบ้าน

“ผมแค่อยากให้การพิจารณาข้อกล่าวหาทั้งหมดผ่านกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องตั้งแต่ต้นเท่านั้น ไม่ใช่ให้ยกเลิกความผิดใดๆ แต่ขอให้เป็นวิธีที่ถูก ต้องตามหลักทั่วไป ไม่ใช่ตั้งธงกันขึ้นมาว่าจะต้องมีความผิดตั้งแต่ยังไม่ได้มีการพิสูจน์หลักฐาน แต่เขียนกฎกันขึ้นมาเอง ผมอยากจะขอความเป็นธรรมตรงนี้ให้พ้น คตส.จะฟื้นคดีฟ้องร้องกันใหม่ตามกระบวนการยุติธรรมก็ไม่เป็นไร ผมพร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่ต้องเป็นกระบวนการที่ถูกต้อง ส่วนการเดินทางกลับประเทศไทยนั้น ไม่ใช่เป็นประเด็นสำคัญ ขึ้นอยู่กับบรรยากาศของความปรองดอง ให้มีความปรองดองเป็นรูปธรรมและชัดเจน ก็พร้อมที่จะให้ตัวเองพิสูจน์ความจริง ไม่ได้รีบร้อน แต่อยากให้ความเป็นธรรมเกิดขึ้น เพื่อเป็นบรรทัดฐานตามหลักสากลมากกว่า” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว.

**“นิวัฒน์ธำรง”ชี้”ทักษิณ”ไม่ใช่หมู
 

นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงปรองดองถือเป็นเรื่องสำคัญของประเทศที่จะนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย ดังนั้นจึงควรต้องทำ ซึ่งในส่วนของรัฐบาลสนับสนุนทุกกลุ่มที่จะช่วยให้เกิดความปรองดองหรือความสามัคคี

ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาถึงการสร้างแนวทางปรองดอง เมื่อเป็นเช่นนี้ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่า ประเทศไทยตอนนี้เราแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ต้องหาจุดที่จะทำอย่างไรที่จะพออยู่กันได้ เพราะความปรองดองนี้ตนว่ามันขึ้นอยู่กับว่าพอรับกันได้ พออยู่กันได้ ทุกฝ่ายต้องยอมรับประชามติ ซึ่งฝ่ายค้านอาจจะอ้างว่าต้องการตรวจสอบ รัฐบาลก็ยินดีให้ตรวจสอบหรือแนะนำ หากอะไรดี คิดตรงกันก็ดี แต่ถ้าความคิดไม่ตรงกันแต่ของเขาดีกว่าเรารับได้ เพราะรัฐบาลมองที่เป้าหมายที่ต้องการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ ดังนั้นก็ต้องช่วยกัน

ถามว่าที่บอกว่าต้องหาจุดเพื่อสร้างความปรองดองจะทำอย่างไร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ความจริงตนก็ยังไม่ได้ลงไปร่วมในเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ตนก็ได้แค่หลักการว่า ถึงอย่างไรก็ต้องคุยกัน เมื่อถามว่าการสร้างความปรองดองเป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาล หากยังมีความไม่เข้าใจกันจะทำให้สะดุดหรือไม่ นายนิวัฒน์ธำรง กล่าวว่าในส่วนของรัฐบาลยังไม่ได้เข้าไปร่วมดำเนินการเพราะยังอยู่ในขั้นตอนของทางสภาที่ได้ตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาแนวทางปรองดองแห่งชาติ ขึ้นมาพิจารณา สำหรับนายกฯเองนั้นก็เป็นห่วงว่าหากรัฐบาลออกแอคชั่นมาก ก็จะถูกกล่าวหาได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าในการสร้างความปรองดองนี้ก็มีความพยายามดึงพ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาด้วย โดยเฉพาะที่บอกว่าจะนิรโทษกรรม และพากลับมาประเทศไทยโดยเร็ว จึงทำให้มองว่าน่าจะเกิดความปรองดองได้ยาก รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า คงพูดกันไปเอง มีอยู่เพียง 2-3 คนเท่านั้นที่พูดว่าจะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมา ส่วนนายกฯท่านทราบดีว่าเป็นอย่างไร

“ปัจจุบันพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ต่างประเทศก็ไม่ได้ลำบากอะไร และที่พูด ๆ กันว่าจะให้กลับมาเมื่อนั้น เมื่อนี้ คิดว่าท่านเข้ามามันปลอดภัยแล้วหรือ ผมว่าท่านคิดมากกว่านั้น ท่านไม่ได้หมูอย่างนั้นหรอก ท่านอยู่ข้างนอกสบายจะตาย ไปไหนก็ได้ เงินทองก็ไม่ได้เดือดร้อน ก็มีอยู่ข้างนอกด้วย ท่านเป็นคนเก่ง มองอะไรก็คิดต่อได้หมด คนที่ยังไม่มองข้ามพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน ผมว่าเขาคงกลัวท่าน เพราะถ้าพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาก็คงจมดินไปเลย เขาจึงไม่อยากให้มาหรอก อย่าทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส ซึ่งผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมยังมีคนไม่น้อยที่เชื่อถือในคำพูดเขา ดังนั้นควรเอาความจริง เอาตามเนื้อผ้าจะดีที่สุด ประเทศชาติจะเดินไปได้ ” นายนิวัฒน์ธำรง กล่าว

**ปู ปัดตอบแนวทางของตัวเอง

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่โพสต์ข้อความในเฟสบุ้คถึงแนวทางการปรองดอง ว่า คงต้องรอทางคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติเป็นผู้พิจารณา แต่สิ่งที่อยากเห็น คือให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า และบรรยากาศต่าง ๆ เป็นไปด้วยบรรยากาศที่ดี เพราะวันนี้ทุกคนต้องการเห็นความเชื่อมั่นในการเดินต่อไปข้างหน้า

ส่วนการจัดเวทีความปรองดองจะกลายเป็นความขัดแย้งหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริง ๆ ต้อง ให้มีโอกาสได้คุยกัน ให้ทุกฝ่ายหันมาพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ทุกฝ่ายสามารถเสนอความคิดเห็นได้ แต่สุดท้ายต้องพิจารณาว่าจะเดินหน้าด้วยกันได้อย่างไร เชื่อว่าคณะกรรมาธิการฯ จะนำความคิดเห็นต่าง ๆ จากทุกภาคส่วนไปพิจารณา เพื่อทำให้ทุกฝ่ายเดินหน้าไปด้วยกันได้

**'สุกำพลหนุนปรองดอง“บิ๊กบัง”

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม กล่าวว่าถือเป็นวิธีการหนึ่ง ส่วนจะทำได้หรือไม่ ต้องดูสถานการณ์เอาเอง ในส่วนของทหารก็ขอให้นิ่งไว้ แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่มีการพูดถึงการปรองดอง และอีกไม่นานคงจะลงตัว ซึ่งถ้าผลออกมาอย่างไรก็เป็นตามนั้น

เมื่อถามว่า ความปรองดองทุกฝ่ายจะต้องเห็นพ้องต้องกันหรือไม่ พล.อ.สุกำพล กล่าวว่า ต้องดูเสียงส่วนมาก ถ้าบอกว่าทุกคนมันเป็นไปไม่ได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่เสียงส่วนมากจะไม่เอาผิดกับกลุ่มบุคคล ที่เผาสถานที่ของราชการและเอกชน ถูกต้องหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า เรื่องราวต่างๆมันหลายเหตุการณ์ อย่าหยิบยกมาประเด็นเดียว คนที่ไม่พอใจก็พยายามพูดในสิ่งที่ตัวเองได้ ซึ่งเหตุการณ์มีมาก ควรจะมองตั้งแต่จุดเริ่มแรก การจะดูหนัง 2 ชม. ถามว่าจะเริ่มดูตรงไหน จะดูชั่วโมงสุดท้ายหรือเริ่มแรก ก็ต้องดูช่วงแรกทั้งนั้น ว่าดำเนินเรื่องมาอย่างไร แล้วใครเป็นคนเดินเรื่องก่อน ต้องดูให้หมด ดูให้ครบม้วน อย่าเอาประเด็นหนึ่งของหนังมา

เมื่อถามว่า แต่จะใช้เรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง ที่จะเผาสถานที่ของราชการและเอกชนถูกต้องแล้วหรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า ก็ผิดด้วยกันทั้งนั้น ก็ต้องดูว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เมื่อถามว่า มองเหมือนว่าการปรองดองจะเป็นการจองเวรมากกว่า พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า อย่าคิดอย่างนั้น พล.อ.สนธิ ซึ่งเป็นคนที่เริ่มตรงนั้น และท่านก็กลับมาเป็นผู้ที่ริเริ่มในการปรองดอง เป็นเรื่องที่ดี เราต้องช่วยกันสนับสนุน อย่าไปมองในแง่โน้นแง่นี้ เมื่อถามว่าในฝ่ายของผู้เสียหายเอง เค้ารู้สึกว่าจะถูกบังคับให้ปรองดอง พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ความปรองดองบังคับกันไม่ได้ แต่ต้องดูเสียงส่วนมาก

**"พร้อมพงศ์"ป้อง"บิ๊กบัง"ไม่ตอบ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนมองว่าไม่ควรจะไปฟื้นฝอยหาตะเข็บ เพราะพล.อ.สนธิเองก็ยืนยันแล้วว่า แม้ตายก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นควรมองไปข้างหน้าดีกว่าว่าจะสร้างความปรองดองได้อย่างไร ทั้งนี้ ตนมองว่าขณะนี้กรรมาธิการฯ เดินมาถูกทางแล้ว และพล.อ.สนธินั้นเป็นชายชาติทหาร ที่เมื่อก่ออะไรไว้ท่านก็มาแก้ไข ดังนั้นจึงไม่ควรไปกดดันท่าน วันนี้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤติมาแล้ว จึงควรเริ่มต้นสิ่งดีๆ กันใหม่ โดยพูดดีและทำดีเพื่อประชาชน และช่วยกันขับเคลื่อนให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ซึ่งตรงนี้จะเป็นการป้องกันการปฏิวัติได้ดีที่สุดในอนาคต
สำหรับกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ออกมาเรียกร้องให้พล.อ.สนธิชี้แจงเหตุผลในการทำการปฏิวัตินั้น ตนมองว่าเรื่องนี้ก็ไม่ควรไปกดดันพล.อ.สนธิ เพราะเมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารนั้น ตนอยากถามว่าทำไมนายอภิสิทธิ์จึงไม่ถามพล.อ.สนธิตั้งแต่ตอนที่ทำการปฏิวัติใหม่ๆ หรือว่าขณะนั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้ประโยชน์จึงไม่ถาม ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นผู้เริ่มให้มีการศึกษาเรื่องความปรองดอง แต่เมื่อถึงเวลาปรองดองจริงๆ กลับคัดค้านและไม่เห็นด้วย ดังนั้นอยากให้นายอภิสิทธิ์ทบทวนด้วย ถ้าคิดผิดก็ขอให้คิดใหม่

**“มาร์ค” จี้ทบทวนหวั่นมือดีจ้องบิดเบือน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ทางคณะกรรมาธิการฯ ขยายเวลาการทำงานออกไปอีก 30 วันแล้ว จึงมีเวลานำรายงานการวิจัยไปดำเนินการตามคำแนะนำ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มในการพูดคุยในประเด็นสำคัญ โดยพยายามเปิดกว้างสร้างกระบวนการพูดคุยเพื่อให้เกิดบรรยากาศการปรองดอง ดังนั้นกรรมาธิการของพรรคประชาธิปัตย์จะใช้แนวทางนี้ ซึ่งถ้ารายงานของกรรมาธิการฯไม่ยึดตามที่สถาบันพระปกเกล้าฯเสนอ โดยเขียนว่ามีคนยึดเรื่องนั้นเรื่องนี้กี่คนเท่ากีบว่าเป็นการไม่เอาแนวทางของคณะผู้วิจัยมาใช้ ส่วนที่พล.อ.สนธิ จะสรุปรายงานภายในกลางเดือนเม.ย.นั้น ตนคิดว่ากระบวนการเสวนาอาจไม่ต้องดำเนินการโดยกรรมาธิการชุดนี้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น กรรมาธิการชุดนี้ควรส่งรายงานให้สภาในทำนองว่าขอให้สภาดำเนินการในการจัดทำการรับฟังความเห็นต่าง ๆ ต่อเนื่องต่อไป เพราะไม่ได้หมายความว่ากรรมาธิการฯชุดนี้จะมาผูกขาดในการจัดให้มีการพูดคุยกัน แต่เป็นการรับแนวทางที่พูดคุยกันในเวทีวันที่ 21 มี.ค. มาเดินหน้าต่อไป

ถ้ากรรมาธิการไม่ยึดตามแนวทางนี้ ตนก็จะเรียกร้องไปยังคณะผู้วิจัยและสถาบันพระปกเกล้าว่าจะยินยอมให้เอารายงานมาถูกหยิบฉวยไปใช้โดยไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์หรือไม่ ทั้งนี้เรายังมีเวลาในการที่จะให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจมากขึ้นว่ารายงานดังกล่าวครบถ้วนเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อาจใช้เวลาอีก 1-2 สัปดาห์ ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะการสอบถามความเห็นยังไม่รอบด้าน ขนาดภรรยาของพล.อ.ร่มเกล้า ก็ยังไม่ได้สะท้อนมุมมองที่สูญเสีย และเชื่อว่าพี่น้องเสื้อแดงที่สูญเสีย หากมาเห็นข้อเสนอนิรโทษกรรมทั้งหมดก็คงมีความรู้สึกเช่นกัน ดังนั้นคำตอบที่ได้ควรจะต้องทำให้ได้ข้อเท็จจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในบ้านเมืองนี้ แล้วเราก็มาดูว่าใครถูกใครผิด และจะให้อภัยกันอย่างไร จากนั้นก็ปรองดอง อย่างไรก็ตามตนคิดว่าในการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้าครั้งต่อไปคงมีการหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา ตนในฐานะกรรรมการสภาสถาบันฯก็จะมีการสอบถามเกี่ยวกับการทำงานวิจัยดังกล่าว เพราะกระทบกระเทือนต่อสถาบัน แต่ตนไม่อยากให้ไปตั้งเป้าที่สถาบัน เพราะผู้วิจัยก็บอกว่าเป็นความรับผิดชอบของคณะผู้วิจัย

เมื่อถามว่านายวุฒิสาร ยอมรับว่ามีการตั้งโจทย์เพื่อปรองดองกับพ.ต.ท.ทักษิณ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จึงเป็นสาเหตุที่ไม่ได้ข้อยุติ ตนไม่อยากให้ประเทศผิดซ้ำสอง ในวันนี้จะด้วยความเกรงใจหรือเกรงกลัวกลุ่มมวลชนที่ต้องการล้างความผิดให้พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าเราเพียงบอกว่าให้จบ ๆ กันไป จะกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่ซึ่งอาจจะใหญ่กว่าเก่าให้สังคมในอนาคต เพราะเรากำลังยอมรับให้มีการใช้ความรุนแรง กำลังส่งสัญญาณว่าการทุจริตไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ซึ่งทำให้สังคมจะมีความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น

**จี้ บิ๊กบัง” ตอบคำถาม “เสธ.”

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนผิดหวังที่พล.อ.สนธิ คำถามที่พล.ต.สนั่น ส่วนตัวคิดว่าเป็นสิ่งที่พล.อ.สนธิ ต้องตอบให้เกิดความกระจ่างต่อสังคม ถ้าทุกคนจะไม่ยอมให้ความจริงกันแล้วเราจะเดินหน้าได้อย่างไร คณะกรรมาธิการปรองดองได้รับผลรายงานที่เน้นความสำคัญกับการที่ต้องได้ความจริง แต่ตัวพล.อ.สนธิ ยังไม่ให้ความจริงแล้วจะเดินตามที่กรรมาธิการสรุปได้อย่างไร ในเมื่อพล.อ.สนธิ ยังไม่ทำเลย การตอบในลักษณะกำกวมอย่างนี้ไม่เป็นผลดีกับใคร ถ้าจะให้ปรองดองจะต้องตอบ และพล.อ.สนธิ จะต้องรู้ว่าการไม่ตอบสร้างปัญหาอะไรขึ้นมา และ ใครให้ความกระจ่างได้ก็ควรทำ งานวิจัยที่ไปถามคน 47 คน ความจริงพล.อ.สนธิ เองก็ต้องตอบในคำถามของคณะผู้วิจัยด้วย

**“เสธ” ย้ำ “บิ๊กบัง” ต้องพูดความจริง

พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า พล.อ.สนธิ ควรออกมาพูดความจริง และชี้แจงให้สังคมได้รับทราบ เพราะเป็นปมสำคัญที่ทำให้ทราบว่าเหตุใดถึงมีความขัดแย้งเกิดขึ้น การที่ พล.อ.สนธิ ระบุว่าทุกคนต้องลืมอดีตและก้าวข้ามสิ่งที่ผ่านมานั้น ตนเห็นว่าก่อนจะถึงขั้นนี้จะต้องพูดความจริงกันก่อน ทั้งนี้ส่วนตัวรู้สึกผิดหวังกับข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้าที่ได้มีการรายงานผลการวิจัย และเห็นว่าการสร้างความปรองดองนั้นล้มเหลว ดังนั้นจึงต้องตั้งหลักและเดินหน้าในการสร้างความปรองดอง

ตนจะยังคงเดินหน้าเรื่องนี้ต่อไป และขอให้ทุกคนต้องออกมาพูดความจริงเพื่อให้ประเทศเดินไปได้และเกิดการปรองดองอย่างแท้จริง รวมทั้งเห็นว่ารัฐบาลควรเป็นเจ้าภาพในการสร้างความปรองดองด้วย ไม่ใช่มีแค่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) และสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น

“ผมไม่ได้ถามลึกลับซับซ้อน ถ้าพล.อ.สนธิ ตอบก็จบ เป็นคำถามง่าย ๆ เรื่องข้อเท็จจริง การเป็นประธาน กมธ. ปรองดองต้องค้นหาความจริง ไม่ใช่โยนให้คนอื่น ถ้าท่านบอกว่าทำปฏิวัติด้วยตัวเองก็จบ เพราะบรรยากาศอึมครึม บางคนคิดว่าอำมาตย์และสถาบันมีส่วนรู้เห็นด้วย และประชาชนไม่เข้าใจ ผมจึงขอร้องให้ท่านตอบสั้นๆ ว่ามีคนอยู่เบื้องหลังหรือท่านทำเอง”

**ประสงค์ จวกวิจัยเข้าขั้น“เลวที่สุด”

น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า รายงานวิจัยชิ้นนี้เป็นของคนกลุ่มหนึ่งในสถาบันพระปกเกล้าที่วิจัยเอื้อประโยชน์ให้กับตัวบุคคล มากกว่าที่จะเอื้อประโยชน์ในทางวิชาการต่อส่วนรวม และตนก็ไม่เห็นว่าการวิจัยดังกล่าวจะวิจัยได้ถึงต้นตอที่ทำให้เกิดความขัดแย้งจริงๆ ซึ่งการที่ กมธ.ปรองดองฯรับลูกกันมา ทำให้สงสัยว่าได้มีการประสานงานและวางทิศทางกันมาก่อนแล้ว โดยมองว่าหากจะปรองดองจริงๆ ต้องไปดูที่รากเหง้าของปัญหา หากมาดูที่ปลายเหตุ และบอกให้เลิกรากันไปแบบนี้ ความขัดแย้งก็อาจจะยุติกันไปแบบชั่วคราว
“การวิจัยในลักษณะให้มีการนิรโทษกรรม โดยยกเลิกการพิจารณาของ คตส. มันคือสิ่งที่เลวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพราะ คตส. ทำงานแบบอัยการ มีหน้าที่ตรวจสอบ ดำเนินการตามขั้นตอน แล้วไปตัดสินกันที่ศาล ผมจึงคิดว่าผลการวิจัยอย่างนี้ คือการเอื้อประโยชน์ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเพียงคนเดียว”น.ต.ประสงค์ กล่าว

**ตอก “เสธ.” แจงเบื้องหลังปฏิวัติปี 20

ส่วนกรณีที่ พล.ต.สนั่น เรียกร้องให้ พล.อ.สนธิ เปิดเผยคนอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ หากตนอยู่ในการเสวนาเมื่อวันที่ 21 มี.ค. ตนเป็น พล.อ.สนธิ หรืออยู่ในสถานที่เดียวกันเวลานั้น ตนจะถาม พล.ต.สนั่นกลับว่า แล้วที่ พล.ต.สนั่นเคยร่วมขบวนปฏิวัติกับพล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ เมื่อปี 2520 ต้องตอบมาก่อนว่าใครคือคนอยู่เบื้องหลังของการปฏิวัติในครั้งนั้น ตนถึงจะตอบคำถามให้ฟัง

ผู้สื่อข่าวถามว่า พล.ต.สนั่น ระบุว่าถ้าบอกว่าใครอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติการปรองดองจะเกิดขึ้น น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตนบอกได้แต่เพียงว่าหากต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งไม่ได้ถูกกระทำให้มันหมดไป การปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ การเลิกรากันไปเฉยๆมันเป็นไปไม่ได้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้ต้องการการปรองดองแบบนี้

เมื่อถามว่า มีการวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของ พล.อ.สนธิ ที่เปลี่ยนไปหลังจากเป็นผู้นำการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ตนไม่ได้มองที่ตัวบุคคล แต่มองวิธีการทำงานของกมธ.ปรองดอง ซึ่งดูตัวบุคคลที่ประกอบกันเป็นกรรมการแล้ว เกินครึ่งเป็นคนในส่วนของพ.ต.ท.ทักษิณทั้งนั้น ถ้าลงมติก็สู้เสียงส่วนใหญ่ไม่ได้ ซึ่งตนเชื่อว่าหากรายวิจัยดังกล่าวผ่านไปในชั้นสภาแล้วมีการลงมติ จะยิ่งสร้างความขัดแย้งให้หนักขึ้นกว่าเดิม

**ปูดบังไม่ตอบคำถามล่วงหน้า “เสธ.”

พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา ในฐานะอดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ส่วนตัวเชื่อว่าบุคคลระดับ พล.ต.สนั่นย่อมรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรัฐประหารอยู่แล้ว แต่ก็มีเจตนาดีที่ถามออกไปเช่นนั้น เพื่อต้องการให้ พล.อ.สนธิได้มีโอกาสชี้แจงต่อสังคม เพราะที่ผ่านมากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มักนำไปพูดว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร ทั้งที่ พล.อ.เปรม เคยยืนยันแล้วว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ไปอยู่ร่วมในเหตุการณ์ก็เพราะเป็นประธานองคมนตรี ที่ต้องเข้าเฝ้าฯเมื่อเกิดเหตุการณ์ ที่สำคัญ พล.อ.เปรมก็ไม่ได้นำคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค.ในขณะนั้น ซึ่งประกอบด้วย พล.อ.สนธิ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุก และ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ เข้าเฝ้าฯอีกด้วย

“เรื่องนี้ พล.อ.สนธิควรที่จะออกมาชี้แจง เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดว่า พล.อ.เปรมมีส่วนเกี่ยวข้อง เชื่อว่า พล.ต.สนั่น รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว และไมได้ต้องการให้เป็นปมปัญหา แต่ถามก็เพื่อให้ พล.อ.สนธิมีโอกาสที่จะไขความกระจ่างต่อสังคม” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว

พล.อ.สมเจตน์ กล่าวด้วยว่า ตนทราบมาก่อนแล้วว่า พล.ต.สนั่นส่งคำถามดังกล่าวนี้ไปล่วงหน้าแล้ว จึงเชื่อว่าเป็นเจตนาดี เพราะหากไม่หวังดีก็คงไม่ส่งไปล่วงหน้า และถามสดในตอนนั้นไปแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใด พล.อ.สนธิจึงไม่ตอบคำถาม ทั้งที่เรื่องราวก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นความลับที่จะตายไปพร้อมกันอย่างที่ พล.อ.สนธิระบุ อย่างไรก็ตามยืนยันได้ว่า พล.อ.สนธิเป็นคนที่มีความรักประเทศชาติเป็นอย่างมาก เพราะผู้ที่เสียสละมาทำรัฐประหาร ที่หากทำไม่สำเร็จก็เท่ากับว่ามีโทษถึงประหารชีวิต ย่อมมีความคิดที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ เพียงแต่คนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การทำงานของ พล.อ.สนธิในฐานะประธาน กมธ.ปรองดองฯถูกตั้งคำถามว่าเอื้อประโยชน์ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการปลดล็อกเรื่องคดีความต่างๆ พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า ตนในฐานะอดีตผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ยังมีความเชื่อใจในตัว พล.อ.สนธิว่า ยังมีจุดยืนเดิมที่มีความรักชาติ และจงรักภักดี และเชื่อมั่นว่า พล.อ.สนธิมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่เชื่อว่ามีการรับงานหรือรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างที่หลายฝ่ายพยายามตั้งข้อสงสัย เพียงแต่ไม่แน่ใจในวิธีคิดว่าวันนี้ พล.อ.สนธิ พยายามทำอะไรอยู่ เรื่องนี้ผู้ที่ตอบคำถามได้ดีที่สุดก็คือตัว พล.อ.สนธิเองที่ต้องออกมาชี้แจงต่อสังคม หากไม่แล้วก็หนีไม่พ้นที่ต้องตกเป็นจำเลยสังคม

**ติงทบทวน 3 ข้อฟอกผิด “แม้ว”

เมื่อถามถึง 3 ข้อเสนอเกี่ยวกับการล้มผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส. ของสถาบันพระปกเกล้า พล.อ.สมเจตน์ กล่าวว่า จะเห็นได้ชัดว่าทั้ง 3 ข้อเสนอพยายามทำให้เห็นว่าปัญหาความขัดแย้งเกิดจาก คตส. ทั้งที่ คตส.ทำตามหน้าที่ในการตรวจสอบการทุจริตที่เกิดขึ้นจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เป็นต้นตอของความขัดแย้งทั้งหมดต่างหาก ตรงนี้ต้องถามว่าหากหาทางปลดคดีแก้ปัญหาให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ความปรองดองจะเกิดขึ้นได้หรือ เพราะคนส่วนใหญ่ก็ไม่ยอมรับแน่นอน ที่สำคัญจนถึงขณะนี้เหตุการณ์จลาจลเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ข้อเท็จจริงก็ยังไม่ปรากฎ กองกำลังติดอาวุธชุดดำคือใคร วันนี้พวกเรากำลังหลงลืมเหตุการณ์นั้น แล้วมามุ่งกันเรื่องอื่น จนทำให้คนที่เผาบ้านเผาเมืองจะถูกได้รับการยกโทษ และอาจจะได้รับเงินเยียวยาด้วย

“เมื่อเป็นเช่นนี้ การชุมนุมทางการเมืองในอนาคตจะมีความร้ายแรงมากขึ้น เพราะมีรางวัลการันตีว่า หากล้มรัฐบาลได้ก็จะได้ไม่ต่ำกว่าคนละ 7.75 ล้านบาท พวกที่เผาเมือง หรือปล้น จะได้รับการนิรโทษกรรม คำถามก็จะมีว่า ทำแบบนี้แล้ว สังคมจะปรองดองกันได้จริงหรือ ผมเห็นว่าทั้งสถาบันพระปกเกล้า และ กมธ.ปรองดองฯ ต้องทบทวนผลการวิจัย และหาข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ให้ได้เสียก่อน และต้องทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ด้วย” พล.อ.สมเจตน์ กล่าว

**มาร์คขู่จนท.ทำหุ้นชินฯหมดอายุความ

อีกด้านนายอภิสิทธิ์ ออกมาระบุ เตรียมเอาผิดกับเจ้าหน้าที่คนใดที่ไม่ทำตามหน้าที่ก็ต้องรับผิดชอบทางกฏหมาย ภายหลังพรรคประชาธิปัตย์ ยื่นร้องเรียนต่อกระทรวงการคลังให้ดำเนินการเก็บภาษีหุ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาจำนวน12,000 ล้านบาทเพราะเห็นว่าการตีความของกรมสรรพากรว่าธุรกรรมซื้อขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่ได้รับการยกเว้นภาษี เป็นการตีความที่ไม่ถูกต้องและคดีจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.55
“อายุความจะหมดถ้าท่านไม่ดำเนินการก็เท่ากับท่านเลือกปล่อยให้คดีหมดอายุความทั้งๆที่มีการเตือนแล้ว เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ทำตามหน้าที่ก็จะถูกดำเนินการต่อไปโดยเฉพาะกระทรวงการคลังและกรมสรรพากรที่จะต้องรับผิดชอบ ส่วนรัฐบาลก็รับทราบข้อเท็จจริง เมื่อทราบแล้วไม่ปฏิบัติก็ถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่เดินหน้าเพราะมีเครือญาติของนายกฯมีส่วนเกี่ยวข้องคิดว่ามีความชัดเจนอยูแล้ว”

นายพร้อมพงศ์ กล่าวตอบโต้ว่า สมัยที่นายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลก็ใช้นโยบายในการไล่ล่าพ.ต.ท.ทักษิณ จนประเทศเพื่อนบ้านเอือมระอา เปรียบเหมือนจะจับหนูตัวเดียวแต่เผาบ้านทิ้งทั้งหลัง วันนี้เมื่อเป็นฝ่ายค้านแต่เก่าก็ยังไม่หาย นายอภิสิทธิ์ขณะนี้จึงทำได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องดีๆ ที่ไม่ยอมทำเสียที อยากแนะนำนายอภิสิทธิ์ว่า ไปเข้าวัดฟังธรรมบ้าง

**สนั่น ชู ป๋าเปรม เป็นบุคคลตัวอย่าง

พล.ต.สนั่น กล่าวระหว่างปาฐกถา เรื่อง ผู้นำการเมืองกับอนาคตของประเทศไทย ว่า ในฐานะที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมายาวนาน จึงเตรียมตัวมาเสนอแนะลักษณะของผู้นำที่จะมาแก้ไขวิกฤตชาติ ซึ่งต้องเป็นคนใจกว้าง พร้อมหยิบยก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาเป็นตัวอย่าง โดยเมื่อครั้งที่ตนเองเป็นรัฐมนตรี ร่วมรัฐบาลกับ พล.อ.เปรม ได้พบจุดเด่นสำคัญคือความซื่อสัตย์ ไม่มีการทุจริต

*** คุกเสื้อแดง2ปีปิด"ถ.มิตรภาพ"

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวานนี้ (22 มี.ค.) ที่ศาลจังหวัดพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น ได้มีการอ่านคำพิพากษาคดีความกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดขอนแก่น รวมตัวปิดถนนบริเวณสี่แยกโรงพยาบาลพล เพื่อตรวจค้นรถโดยสารทุกคันที่ต้องสงสัยว่าจะนำทหารในสังกัดพื้นที่ภาคอีสานเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่สี่แยกราชประสงค์ จนส่งผลกระทบต่อการจราจรบนถนนมิตรภาพเป็นอย่างมาก เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2553

พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย คือ นายชูไทย ล้นทม ในฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง มีความผิดตามกฎหมายอาญา มาตรา 215วรรค 3 216, 309 วรรค 2 พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 มาตรา 39 มาตรา 72 ประกอบด้วยมาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรม พิพากษาให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91

ศาลพิพากษาตัดสินจำคุก 2 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ในการพิจารณาให้ลดโทษกึ่งหนึ่งจำคุก 12 เดือน ซึ่งจากการพิเคราะห์รายงานการสืบเสาะและพินิจแล้ว ไม่มีเหตุเพียงพออันจะนำมาประกอบการใช้ดุลพินิจรอการลงโทษให้แก่จำเลย อย่างไรก็ตาม หลังรับฟังคำพิพากษาเสร็จแล้วทนายความฝ่ายจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวในจำนวนเงิน 2 แสนบาทเพื่อต่อสู้คดีในชั้นอุทรณ์ต่อไป

สำหรับจำเลยในคดีความฐานความผิดดังกล่าวมีทั้งหมด 3 คน โดย 2 คนแรกศาลได้พิพากษาตัดสินไปแล้วก่อนหน้านี้
กำลังโหลดความคิดเห็น