เมื่อตอนที่ถูกทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายเลือกให้เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหมายเลข 1 ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นการวางตัวไว้สำหรับการเป็นายกรัฐมนตรีนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยืนยันว่าจะไม่เห็นแก่คนคนเดียว (คือ ทักษิณ) หากจะเป็นนายกรัฐมตรีที่มุ่งประโยชน์ของประเทศชาติ ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ
นอกจากบรรดาบริษัทบริวารทั้งหลายของทักษิณแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อคำพูดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สักเท่าไรนัก ยิ่งเห็นการกระทำของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ฟังคำพูดของทักษิณผู้เป็นพี่ชาย ก็ยิ่งเห็นนายกรัฐมนตรีตำแหน่งสำคัญของประเทศกลายเป็นตัวตลก เป็นตัวตลกระดับชาติ ระดับประเทศ กลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา แทนที่จะเห็นเป็นคนสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี
ที่บอกว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อคนคนเดียวของนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงประโยคที่ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจยามที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวเท่านั้นเอง เพราะความเป็นจริงก็คือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เจรจากับญี่ปุ่นให้ทักษิณเดินทางไปญี่ปุ่นได้
ลูกชาย ลูกสาวทักษิณ ไม่ต้องถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี
อัยการสูงสุดมีความเห็นไม่อุทธรณ์คดีเมียทักษิณถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก ทักษิณซึ่งเป็นนักโทษ เพราะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก ถูกถอนหนังสือเดินทาง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ กลับคืนหนังสือเดินทางให้ แถมคาบไปให้ทักษิณถึงนครดูไบ
ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ยังท่องอยู่ประโยคเดิมๆ นั่นแหละว่า ไม่ทำเพื่อคนคนเดียว แต่จะทำเพื่อส่วนรวม จะเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น นางสาวยิ่งลักษณ์พูดหนักแน่นด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีสีแดงเจือเลยแม้แต่น้อย
หน้าช่างแข็ง และแกร่งจริงๆ
มาวันนี้เสียงพูดคำว่า “ปรองดอง” กระหึ่มขึ้น เป็นเสียงกระหึ่มอันมีนัยเพื่อทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะทหาร ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากทักษิณกลายมาเป็นประธานกรรมาธิการเพื่อการปรองดองของสภา
สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นองค์กรที่ทำกิจกรรมเพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย เสนอหนทางปรองดองด้วยการยกเลิกสิ่งที่คณะกรรมการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของทักษิณ ว่าสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองอย่างไรบ้าง ทั้งที่การตรวจสอบนั้นหลายเรื่องอัยการมีความเห็นส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลก็ตัดสินลงโทษไปแล้ว
คดีที่ดินรัชดาฯ ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี คดีร่ำรวยผิดปกติศาลให้ยึดทรัพย์ไว้ 4.6 หมื่นล้านบาท คดีหวย 2 ตัว 3 ตัวที่กองสลากไม่ได้เอาเงินเข้าคลัง แต่เก็บไว้ให้ทักษิณใช้หาเสียง ศาลอ่านคำพิพากษาเฉพาะจำเลยอื่น ส่วนทักษิณยังหนีศาลอยู่ คำตัดสินในส่วนของทักษิณจึงยังไม่มีใครรู้
ยังมีคดีค้างศาลอยู่อีก และยังอยู่ที่ ป.ป.ช.อีกหลายคดี เพราะเมื่อ คตส.หมดวาระลงก็เอางานทั้งหมดที่ทำไว้ให้ ป.ป.ช.ทำต่อ
เพื่อการปรองดอง สถาบันพระปกเกล้ากลับมีความเห็นว่าให้ยกเลิกสิ่งที่ คตส.ตรวจสอบมา
เพื่อการปรองดอง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่แปรสภาพตัวเองมาเป็นนักการเมือง มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ตัวเคยประกาศยกเลิก กลับมาเห็นดีเห็นงามกับแนวทางปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า
ฟังแล้วเกิดอาการมวนท้อง คลื่นเหียนอยากจะอาเจียนขึ้นมาทันที
และเพื่อให้เห็นว่า ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการปรองดองนั้น ไม่แต่เฉพาะทักษิณ เหมือนกับการเยียวยาด้วยเงิน 7.75 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เฉพาะคนเสื้อแดง เสื้อสีอื่นก็จะได้เหมือนกันหากตาย บาดเจ็บในช่วงการยึดอำนาจของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน จนถึงเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 และเพื่อบีบให้เกิดการปรองดอง บีบให้ทุกฝ่ายยอมรับ มาวันนี้จึงตั้งข้อหาทหารฆ่าประชาชน รวมทั้งเพิ่มข้อหาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับการปรองดอง ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับเพื่อที่จะได้ไม่มีคดีติดตัว ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กคดีน้อย หรือคดีอุกฉกรรจ์ โทษทัณฑ์จะเบาหรือหนักเพียงใดก็ตาม
และบางรายอาจจะได้เงิน 7.75 ล้านบาท อันเป็นเงินภาษีของประชาชนเหมือนๆ กับพวกที่ขายชีวิต ขายวิญญาณให้ทักษิณได้
มันจะปรองดองกันได้อย่างไร เมื่อคิดจะล้มขื่อแปของบ้านเมือง
มันจะต้องไปคิดหาวิธีปรองดองกันทำไมในเมื่อทุกวันนี้ไม่มีใครจะเป็นจะตาย เพราะความขัดแย้ง เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน คนที่จะเป็นจะตาย คือ ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว
พรรคการเมืองที่เขาแพ้เลือกตั้งก็ยอมรับความพ่ายแพ้ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งก็เป็นรัฐบาลบริหารประเทศไป นางสาวยิ่งลักษณ์ก็เป็นนายกรัฐมนตรีไป จะมีความรู้ความสามารถในการบริหารขนาดไหนก็เป็นเรื่องของนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่มีใครไปขัดไปขวาง บ้านเมืองมีตัวบทกฎหมายอยู่แล้ว
ทุกอย่างดำเนินไปตามตัวกฎหมายก็จบ
ไม่ต้องวิ่งหรือกระเสือกกระสนหาเรื่องที่จะต้องปรองดอง
ด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างขึ้นใหม่ ด้วยการออกมติคณะรัฐมนตรีเอางบประมาณแผ่นดินมาเป็นค่าจ้างคนที่ขายชีวิตขายวิญญาณให้แก่ทักษิณ ฯลฯ
ทำเช่นนี้ก็จะถูกต่อต้าน ถูกคัดค้านอย่างที่สมัคร สมชาย โดนมาแล้ว
ถ้าหากจริงใจที่จะปรองดองไม่ต้องทำอะไรมาก เดินไปตามตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ ไม่ใช่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว หรือตอหลดตอแหลไปวันๆ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
นอกจากบรรดาบริษัทบริวารทั้งหลายของทักษิณแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อคำพูดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สักเท่าไรนัก ยิ่งเห็นการกระทำของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ฟังคำพูดของทักษิณผู้เป็นพี่ชาย ก็ยิ่งเห็นนายกรัฐมนตรีตำแหน่งสำคัญของประเทศกลายเป็นตัวตลก เป็นตัวตลกระดับชาติ ระดับประเทศ กลายเป็นบุคคลที่น่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา แทนที่จะเห็นเป็นคนสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี
ที่บอกว่าจะไม่ทำอะไรเพื่อคนคนเดียวของนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นเพียงประโยคที่ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจยามที่ให้สัมภาษณ์นักข่าวเท่านั้นเอง เพราะความเป็นจริงก็คือ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เจรจากับญี่ปุ่นให้ทักษิณเดินทางไปญี่ปุ่นได้
ลูกชาย ลูกสาวทักษิณ ไม่ต้องถูกกรมสรรพากรเรียกเก็บภาษี
อัยการสูงสุดมีความเห็นไม่อุทธรณ์คดีเมียทักษิณถูกศาลอาญาตัดสินจำคุก ทักษิณซึ่งเป็นนักโทษ เพราะถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก ถูกถอนหนังสือเดินทาง รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ กลับคืนหนังสือเดินทางให้ แถมคาบไปให้ทักษิณถึงนครดูไบ
ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ยังท่องอยู่ประโยคเดิมๆ นั่นแหละว่า ไม่ทำเพื่อคนคนเดียว แต่จะทำเพื่อส่วนรวม จะเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้น นางสาวยิ่งลักษณ์พูดหนักแน่นด้วยสีหน้าปกติ ไม่มีสีแดงเจือเลยแม้แต่น้อย
หน้าช่างแข็ง และแกร่งจริงๆ
มาวันนี้เสียงพูดคำว่า “ปรองดอง” กระหึ่มขึ้น เป็นเสียงกระหึ่มอันมีนัยเพื่อทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว
พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะทหาร ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากทักษิณกลายมาเป็นประธานกรรมาธิการเพื่อการปรองดองของสภา
สถาบันพระปกเกล้าซึ่งเป็นองค์กรที่ทำกิจกรรมเพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย เสนอหนทางปรองดองด้วยการยกเลิกสิ่งที่คณะกรรมการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของทักษิณ ว่าสร้างความเสียหายให้กับชาติบ้านเมืองอย่างไรบ้าง ทั้งที่การตรวจสอบนั้นหลายเรื่องอัยการมีความเห็นส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และศาลก็ตัดสินลงโทษไปแล้ว
คดีที่ดินรัชดาฯ ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี คดีร่ำรวยผิดปกติศาลให้ยึดทรัพย์ไว้ 4.6 หมื่นล้านบาท คดีหวย 2 ตัว 3 ตัวที่กองสลากไม่ได้เอาเงินเข้าคลัง แต่เก็บไว้ให้ทักษิณใช้หาเสียง ศาลอ่านคำพิพากษาเฉพาะจำเลยอื่น ส่วนทักษิณยังหนีศาลอยู่ คำตัดสินในส่วนของทักษิณจึงยังไม่มีใครรู้
ยังมีคดีค้างศาลอยู่อีก และยังอยู่ที่ ป.ป.ช.อีกหลายคดี เพราะเมื่อ คตส.หมดวาระลงก็เอางานทั้งหมดที่ทำไว้ให้ ป.ป.ช.ทำต่อ
เพื่อการปรองดอง สถาบันพระปกเกล้ากลับมีความเห็นว่าให้ยกเลิกสิ่งที่ คตส.ตรวจสอบมา
เพื่อการปรองดอง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ที่แปรสภาพตัวเองมาเป็นนักการเมือง มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ตัวเคยประกาศยกเลิก กลับมาเห็นดีเห็นงามกับแนวทางปรองดองของสถาบันพระปกเกล้า
ฟังแล้วเกิดอาการมวนท้อง คลื่นเหียนอยากจะอาเจียนขึ้นมาทันที
และเพื่อให้เห็นว่า ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการปรองดองนั้น ไม่แต่เฉพาะทักษิณ เหมือนกับการเยียวยาด้วยเงิน 7.75 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เฉพาะคนเสื้อแดง เสื้อสีอื่นก็จะได้เหมือนกันหากตาย บาดเจ็บในช่วงการยึดอำนาจของพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน จนถึงเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553 และเพื่อบีบให้เกิดการปรองดอง บีบให้ทุกฝ่ายยอมรับ มาวันนี้จึงตั้งข้อหาทหารฆ่าประชาชน รวมทั้งเพิ่มข้อหาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับการปรองดอง ทุกฝ่ายจะต้องยอมรับเพื่อที่จะได้ไม่มีคดีติดตัว ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กคดีน้อย หรือคดีอุกฉกรรจ์ โทษทัณฑ์จะเบาหรือหนักเพียงใดก็ตาม
และบางรายอาจจะได้เงิน 7.75 ล้านบาท อันเป็นเงินภาษีของประชาชนเหมือนๆ กับพวกที่ขายชีวิต ขายวิญญาณให้ทักษิณได้
มันจะปรองดองกันได้อย่างไร เมื่อคิดจะล้มขื่อแปของบ้านเมือง
มันจะต้องไปคิดหาวิธีปรองดองกันทำไมในเมื่อทุกวันนี้ไม่มีใครจะเป็นจะตาย เพราะความขัดแย้ง เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน คนที่จะเป็นจะตาย คือ ทักษิณ ชินวัตร คนเดียว
พรรคการเมืองที่เขาแพ้เลือกตั้งก็ยอมรับความพ่ายแพ้ พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งก็เป็นรัฐบาลบริหารประเทศไป นางสาวยิ่งลักษณ์ก็เป็นนายกรัฐมนตรีไป จะมีความรู้ความสามารถในการบริหารขนาดไหนก็เป็นเรื่องของนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่มีใครไปขัดไปขวาง บ้านเมืองมีตัวบทกฎหมายอยู่แล้ว
ทุกอย่างดำเนินไปตามตัวกฎหมายก็จบ
ไม่ต้องวิ่งหรือกระเสือกกระสนหาเรื่องที่จะต้องปรองดอง
ด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างขึ้นใหม่ ด้วยการออกมติคณะรัฐมนตรีเอางบประมาณแผ่นดินมาเป็นค่าจ้างคนที่ขายชีวิตขายวิญญาณให้แก่ทักษิณ ฯลฯ
ทำเช่นนี้ก็จะถูกต่อต้าน ถูกคัดค้านอย่างที่สมัคร สมชาย โดนมาแล้ว
ถ้าหากจริงใจที่จะปรองดองไม่ต้องทำอะไรมาก เดินไปตามตัวบทกฎหมายที่มีอยู่ ไม่ใช่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว หรือตอหลดตอแหลไปวันๆ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้