xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไพร่...........ซี๊ด แพงทั้งแผ่นดิน อำมาตย์ตระกูลชินรวยเอาๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-น้ำมันก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา

สินค้าบริโภค....อาหารการกินก็ขึ้นเอา ขึ้นเอา

งานนี้เล่นเอาประชาชนทั้งแผ่นดินต้องนอนเอามือก่ายหน้าผากกับภาระค่าครองชีพที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งลงได้

แต่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี กลับมิได้สนใจใยดีที่จะแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน ไม่มีแม้แต่ “ดอกพิกุล” ร่วงออกมาจากปากว่า จะมีมาตรการระยะสั้น ระยะกลางหรือระยะยาวในการหยุดยั้งภาวะข้าวยากหมากแพงอย่างไร

ขณะที่เมื่อเหลียวกับไปตรวจสอบบรรดา “ไพร่เสื้อแดง” ที่กลายไปเป็นอำมาตย์ใหญ่ในรัฐบาลชุดนี้ก็พบว่า แต่ละคนล้วนแล้วแต่อู้ฟู่ มีทรัพย์ศฤงคารเบิกบานหัวใจ จากการเปิดเผยตัวเลขทรัพย์สินคณะรัฐมนตรีของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) รวมทั้ง “เป็ดเหลิม” -ร้อยตำรวจเอกดอกเตอร์เฉลิม อยู่บำรุง ที่นั่ง “รถเบนท์ลีย์สีชมพู” ทะเบียน ฉม2222 ราคาคันละ 25 ล้านและมีเพียง 2 คันในโลกโฉบเฉี่ยวไปมาเพื่ออวดร่ำอวดรวย

ยิ่งอำมาตย์ใหญ่ในตระกูลชินด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูอย่าง 2 ผัวเมียข้าวใหม่ปลาใหม่ “พินทองทา ชินวัตร -ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นั่นปะไรที่เปิดเรือนหอระดับคฤหาสน์ที่วังจันทร์ส่องหล้าให้ “นิตยสาร Hello” ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 (8 มีนาคม 2555) บันทึกความมีอันจะกินไว้ยั่วน้ำลายไพร่ไส้แห้งให้นึกอิจฉาปนอนาถใจ

กระนั้นก็ดี จงอย่าแปลกใจกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ว่าทำไมถึงชาเย็นต่อความเดือดร้อนของประชาชน เพราะเป้าประสงค์ของนางสาวยิ่งลักษณ์คือการช่วย นช.ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายให้กลับมาประเทศไทยโดยไม่ต้องรับผิดและได้ทรัพย์สมบัติที่ถูกยึดไปจากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกลับคืนมาทุกบาททุกสตางค์

** ปี’55ราคาพลังงานขึ้นยกแผง ฝรั่งหัวดำดูไบรวยไม่รู้เรื่อง

คงไม่ต้องไปเสียเวลาไปถามนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่ารัฐบาลมีมาตรการแก้ปัญหาข้าวยากหมากแพงอย่างไร เพราะถามไปก็มิได้คำตอบอะไรที่จะพอทำให้หัวใจชุ่มชื่นหรือมีความหวังขึ้นมาบ้าง

คำตอบที่สังคมได้ยินจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์คนสวยที่ชอบแต่งตัวสวยๆ ไปเดินเฉิดฉายโชว์ตัวที่นั่นที่นี่ทั้งในประเทศและต่างประเทศคงไม่มีอะไรมากไปกว่า….. เรื่องนี้มอบให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีไปดำเนินการแล้ว เรื่องนี้มอบให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการแล้ว และเรื่องนี้มอบให้รัฐมนตรีอารักษ์ ชลธรานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปแก้ปัญหาแล้ว

จากนั้นก็ปล่อยให้บรรดาข้าทาสตระกูลชินทั้งเบื้องสูงเบื้องต่ำเสนอหน้าออกมาแก้ตัวกันไปคนละทางสองทาง ตามบทถนัดของแต่ละคน

ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว คงต้องบอกว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยนับตั้งแต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศตกอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่และไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยแม้แต่น้อย เพราะนโยบายที่รัฐบาลนกแก้วประกาศใช้ มุ่งหวังเพียงแค่การประชานิยมและหวังผลในคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ คำประกาศในการหาเสียงเลือกตั้งของนายกฯ นกแก้วที่กำลังกลายเป็นประโยคที่ย้อนกลับมาเป็นบ่วงรัดคอรัฐบาลให้จำนนอย่างไม่มีข้อโต้เถียง

“เราจะกระชากค่าครองชีพลงมา เอามั้ยค้า.....เราจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงมาทันทีลิตรละ 7-8 บาท เอามั้ยค้า.....”

ไม่รู้ว่า นายกฯ ยิ่งลักษณ์เข้าใจสิ่งที่เธอประกาศหรือไม่ แต่นั่นก็ทำให้กลายเป็นที่มาของการประกาศยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน ซึ่งนั่นมิใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดและเป็นการแก้ปัญหาเพื่อการหาเสียงเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นนโยบายที่มีอายุแค่ 4 เดือนเท่านั้น เพราะในที่สุดรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็จำต้องเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันอีกครั้ง

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ราคาพลังงานภาพรวมของไทยปี 2555 ถือเป็นเรื่องที่คนไทยต้องก้มหน้าก้มตารับสภาพในการควักเงินจ่ายเพิ่มขึ้นแทบทุกรายการ เริ่มกันที่กลุ่มก๊าซธรรมชาติที่แอลพีจีภาคอุตสาหกรรมรับไปก่อนใครเพื่อนตั้งแต่ก.ค. 2554 โดยปรับขึ้นไตรมาสละ 3 บาทต่อกก.จนครบ 4 ครั้งโดยจะส่งผลให้ราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมจะขยับไปอยู่ที่ 30.13 บาทต่อกก.

ต่อเนื่องมาด้วยการปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่ง 75 สตางค์ต่อกิโลกรัม(กก.)เริ่มตั้งแต่ 16 ม.ค. 55 ซึ่งตามกรอบที่วางไว้จะต้องปรับขึ้นทุกเดือนจนครบ 9 บาทต่อกก.ในเดือนธ.ค. 55 หรือราคาจะวิ่งไปอยู่ที่ 20.70 บาทต่อกก. และเอ็นจีวี 50 สตางค์ต่อกก.ทุกเดือนจนครบ 6 บาทต่อกก.ในธ.ค. 55 หรือราคาจะไปอยู่ที่ 14.50 บาทต่อกก.

ขณะที่ราคาแอลพีจีภาคครัวเรือนกำหนดเดิมจะตรึงราคาไว้ที่ 18.13 บาทต่อกก.จนถึงสิ้นปี 2555 แต่ดูเหมือนว่าการที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงต้องควักเงินอุ้มราคาที่สูงขึ้นของแอลพีจีตลาดโลกที่สูงถึง 1,200 เหรียญสหรัฐต่อตันทำให้กองทุนฯต้องควักจ่ายอุ้มแอลพีจีเฉลี่ยเดือนละ 4,000 ล้านบาทเงินกู้ที่วางไว้ 3 หมื่นล้านบาทจะหมดในช่วงต.ค. 55 นี้ ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงส่งสัญญาณในการขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนเร็วขึ้นซึ่งทำให้ต้องจับตาในจุดนี้ว่าที่สุดรัฐจะตัดสินใจอย่างไร

หันมาดูทางฟากของน้ำมันพบว่า ราคาน้ำมันเริ่มต้นปีใหม่ราคาขายปลีกน้ำมันมีการเปลี่ยนแปลงถึง 11 ครั้ง(ตั้งแต่ 5 ม.ค. 55- 12 มี.ค.55) โดยเฉพาะเบนซิน 91 ขยับจาก 35.77 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 41.51 บาทต่อลิตรหรือปรับขึ้นถึง 5.74 บาทต่อลิตรโดยใน 11 ครั้งปรับลดลงเพียงครั้งเดียว

โดยล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) วันที่ 15 มี.ค.ที่มีนายอารักษ์ ชลร์ธารนนท์ รมว.พลังงานเป็นประธาน เห็นชอบเก็บเงินนำส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเฉพาะเบนซิน 95 และเบนซิน 91 อัตราลิตรละ 1 บาทมีผลตั้งแต่ 16 มี.ค.-15เม.ย. 55 โดยยังคงเงินนำส่งของแก๊สโซฮอล์เพื่อถ่างส่วนต่างราคาให้จูงใจใช้พลังงานทดแทน ส่วนดีเซลคงการเก็บอัตราเดิมที่ 60 สตางค์ต่อลิตร

ส่วนราคาดีเซลมีการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯไปเพียงครั้งเดียว 60 สตางค์ต่อลิตรแต่ด้วยราคาตลาดโลกส่งผลให้ราคาขายปลีกมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นปี(5ม.ค.55-12มี.ค.55) 8 ครั้งและเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องจากราคา 29.39 บาทต่อลิตรมาอยู่ที่ 32.33 บาทต่อลิตรโดยปรับขึ้นรวม 2.94 บาทต่อลิตร ซึ่งแนวโน้มดีเซลตลาดโลกยังคงเป็นขาขึ้นจึงมีความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลจะต่ออายุมาตรการลดภาษีฯดีเซลหรืออาจจะเลือกลดเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯดีเซลที่เหลือ 60 สตางค์ต่อลิตร

แหล่งข่าวจากวงการน้ำมันระบุว่า กระทรวงพลังงานในฐานะกำกับดูแลควรเข้าไปดูกลไกการปรับราคาของผู้ค้าเพื่อให้เป็นธรรมกับผู้บริโภคด้วย เนื่องจากพบว่าผู้ค้าน้ำมันมีเทคนิคในการดึงราคาขายปลีกไว้ทั้งที่ค่าการตลาดบางช่วงสูงเฉลี่ยกว่า 2 บาทต่อลิตรซึ่งสามารถปรับลดลงได้เพราะปกติค่าการตลาดที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1.50-1.60 บาทต่อลิตร แต่กลับดึงไว้เพื่อรอน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ขึ้นและเมื่อขึ้นไปได้ก็เริ่มปรับราคาเพิ่มทั้งที่ก่อนหน้าควรจะปรับลดราคาลงได้

ส่วนกรณีแอลพีจีนั้น ข้อเท็จจริงที่มิอาจปล่อยให้ผ่านไปได้ก็คือ เป็นผลมาจากการที่ปตท.นำไปผลิตปิโตรเคมีเพิ่มขึ้น ทำให้ดึงแอลพีจีจากภาคส่วนอื่นๆ ไปใช้ ขณะเดียวกัน ปตท.ซึ่งมีศักยภาพที่ควรจะต้องเป็นผู้ลงทุนสร้างคลังแอลพีจีเอง กลับเบียดบังมาใช้คลังที่เขาบ่อยา ซึ่งถือเป็นคลังส่วนรวม เท่ากับเป็นการมาเบียดเบียนการนำเข้าแอลพีจีของส่วนอื่นๆ ในอีกทางหนึ่งด้วย

ด้วยเหตุดังกล่าว ทั้งรถแท็กซี่ รถโดยสาร เรือขนส่งสาธารณะ รวมทั้งรถบรรทุกจึงดาหน้ากันออกมาขอปรับราคากันอย่างพร้อมเพรียง เนื่องเพราะมีตัวเลขที่ชัดเจนว่า ส่งผลทำให้ต้องควักค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 6 หมื่นล้านต่อปีเลยทีเดียว

คำถามที่สังคมสงสัยคือทำไมรัฐบาลถึงนิ่งดูดายต่อความทุกข์ยากของประชาชนเช่นนี้ หรือเป็นเพราะฝรั่งหัวดำที่อยู่ดูไบมีผลประโยชน์อยู่ในบริษัทพลังงานของชาติมีคำสั่งให้ทำนาบนหลังคนเพื่อความร่ำรวยอย่างไม่รู้จักจบสิ้นของเขา

**”ปู” เอาไม่อยู่ ข้าวของแพงทั้งแผ่นดิน

และฉับพลันทันทีที่ต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น ราคาสินค้าก็ขยับขึ้นตามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เป็นที่ปรากฎชัดว่า การกระชากค่าครองชีพ ตามคำคุยของรัฐบาล “ปูนิ่ม” เมื่อครั้งใช้หาเสียง คุยโต โอ้อวดว่าจะทำทันที หลังเข้ามาเป็นรัฐบาล ได้ทำให้ประชาชนเห็นภาพชัดเจนแล้วว่า ขี้หกทั้งเพ เพราะสิ่งที่จับต้องได้วันนี้ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารการกิน ได้แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กระทรวงพาณิชย์รายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยระบุชัดเจนว่า ดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้น 7.18% โดยเนื้อสัตว์ เป็ดไก่และสัตว์น้ำเพิ่มขึ้น 7.19% ผักและผลไม้เพิ่มขึ้น 6.32% เครื่องดื่มประกอบอาหารเพิ่มขึ้น 11.76% อาหารบริโภคในบ้านเพิ่มขึ้น 12.44% และอาหารบริโภคนอกบ้านเพิ่มขึ้น 5.24%

นี่คือปัญหาใหญ่ที่รอปัญญาของรัฐบาลในการแก้ไข

กล่าวสำหรับเรื่องค่าครองชีพ ต้องบอกว่า นับวันเม็ดเงินในกระเป๋าของคนไทยมีค่าน้อยลงทุกวัน วันนี้คนมีเงินในกระเป๋า 100 บาท กินข้าวบวกน้ำ ได้แค่มื้อเดียว 2 มื้อไม่พอ หลังข้าวแกง อาหารตามสั่ง ราคาขยับขึ้นพรวดๆ ราคาเริ่มต้น 20-25 บาท อย่าคิดไปหากิน ไม่มีทางเจอ ตอนนี้ต้องเริ่มที่ 35-40 บาท ส่วนในห้าง ในศูนย์อาหาร ไม่ต้องพูดถึง นั่นเริ่ม 45-60 บาท ทั้งๆ ที่ต้นทุนในการผลิตเวลานี้ ถูกกว่าสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ตั้งเยอะ

เมื่อครั้งประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เนื้อหมูกิโลกรัมละ 140-150 บาท วันนี้ไม่เกิน 120 บาท แถมมีโปรโมชั่นขายถูกกิโลกรัมละ 100-105 บาท ในตลาดสดกับในห้าง เพราะหมูล้นตลาด ส่วนน้ำมันพืชปาล์มขวดละ 42 บาท สมัยก่อน 47 บาท เคยทะลุไปถึง 60-80 บาท ส่วนวัตถุดิบประกอบอาหารอื่นๆ ก็ราคาคงที่ เพราะพาณิชย์ยืนยันเอง แต่ราคาอาหารกลับขึ้นสวนทาง

เดือดร้อนต้องออกมาประกาศ 10 เมนู แนะนำ ข้าวไข่เจียว ข้าวราดแกงหรือกับข้าว 1 อย่าง ข้าวไข่พะโล้ ข้าวขาหมู ข้าวกะเพราหมู ไก่ ข้าวผัดหมู ไก่ ก๋วยเตี๋ยวหมู ไก่ ลูกชิ้นปลา ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว ขนมจีนน้ำยา แกงไก่ ห้ามขายเกิน 20-25 บาท สำหรับร้านอาหารริมทาง ไม่เกิน 25-35 บาท สำหรับร้านในห้าง ศูนย์อาหาร ตั้งแต่วันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่จนวันนี้ก็ยังไม่มีใครทำตาม

หนักไปกว่านั้น ประกาศเปิดตัวร้านอาหารธงฟ้า ตั้งเป้าภายใน 1-2 เดือนจะมี 8,000 ร้านทั่วประเทศ แต่วันนี้มีไม่กี่พันร้าน แถมหลายร้านที่เข้าร่วมก็ขอออกจากโครงการไปแล้ว เพราะทนไม่ไหว วัตถุดิบราคาถูกที่พาณิชย์บอกจะหามาช่วย ก็ไม่มี ไม่มา ยิ่งขายยิ่งเจ๊ง ก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม ออกมาแล้วขายแพงเหมือนเดิมดีกว่า ยังพอมีกำไรอยู่ได้

ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ประกาศปาวๆ ว่า เอาอยู่ ไม่มีรายการใดปรับขึ้นราคา แต่พูดไปก็เท่ากับถ่มน้ำลายรดหน้าตัวเอง เพราะผลการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ซึ่งเป็นการสำรวจของหน่วยงานของพาณิชย์เอง ก็ออกมาชี้ชัดว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฉีกหน้าตัวเองยับเยิน เพราะผ่านมา 2 เดือน (ม.ค.-ก.พ.) เงินเฟ้อปาเข้าไปแล้ว 3.36%

ยังไม่รวมแทกติกของผู้ประกอบการ ที่แอบขึ้นราคาสินค้าทางอ้อม ใช้วิธีการลดขนาดสินค้า ปรับเพิ่มส่วนผสม แล้วมาขอตั้งราคาเป็นสินค้าใหม่ พาณิชย์ก็หยวนๆ ปล่อยให้ขึ้น แบบว่าตามเกมไม่ทัน

ส่วนสินค้าที่ปลดออกจากบัญชีควบคุม อย่างกาแฟผงสำเร็จรูป นมเปรียวพร้อมดื่ม โยเกิรต์ แชมพู น้ำยาซักฟอง ผลิตภัณฑ์ซักฟอก และสบู่ ตอนนี้ราคาไม่ต้องพูดถึง ขึ้นกระฉูดจนผู้บริโภครู้สึกได้

แล้วล่าสุด วิกฤตน้ำมันปาล์ม กำลังกลับมาเยือนเป็นรอบ 2 เริ่มต้นแบบหนังม้วนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ผู้ผลิตขอปรับขึ้นราคา อ้างต้นทุนเพิ่ม จากนั้น เริ่มชะลอการผลิต อ้างผลิตไปก็ขาดทุน ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ก็ได้ทีโก่งราคา ใครอยากได้น้ำมันปาล์ม ก็ต้องจ่ายราคาแพงขึ้น ไม่จ่าย ก็ไม่มีของ ประชาชนผู้บริโภค พอเริ่มรู้สึกว่า น้ำมันปาล์มจะขาดแคลน ก็รีบไปซื้อกักตุนจนของที่เคยมีขายทั้งในตลาด ทั้งในห้าง ก็เริ่มขาดหาย

ผลการหารือระหว่างผู้ประกอบการที่ผลิตน้ำมันปาล์มบรรจุขวด เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ได้ยื่นคำขาด ขอให้พาณิชย์พิจารณาปรับขึ้นราคาเป็นขวดละ 50 บาท จากเดิม 42 บาท เพราะสต๊อกที่มีอยู่ตอนนี้ สามารถผลิตและขายราคาเดิมได้อีกแค่ 2 สัปดาห์ หรืออย่างช้าก็ราวๆ ปลายเดือนนี้ ก็หมด ถ้าไม่ช่วยเหลืออะไร ผู้ผลิต จะขาดทุน และชะลอการผลิต จนอาจเกิดปัญหาวิกฤตซ้ำรอยเดิมก็เป็นได้

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ก็ยังแก้ปัญหาแบบเดิมๆ ขอให้ตรึงราคา โดยให้เหตุผลว่า สต๊อกเก่ายังมีอยู่ และผลผลิตใหม่กำลังจะออกมาตั้งแต่เดือนเม.ย.เป็นต้นไป บวกกับกำลังพิจารณาหาทางช่วยเหลือ โดยล่าสุด มีข้อเสนอออกมา 2 แนวทาง คือ นำเข้ามาแล้วขายให้ผู้ผลิตในราคาถูก หรือไม่ก็ไปซื้อผลปาล์มดิบในตลาด แล้วมาขายให้กับผู้ผลิต ในราคาถูกซึ่งรัฐจะต้องใช้เงินอุดหนุนตรงนี้ประมาณ 68-115 ล้านบาท

ก็ไม่รู้ว่า แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าว จะทำให้วิกฤตปาล์มน้ำมันจะยุติลงได้หรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่การขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ ของกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การบริหารของนายบุญทรง ซึ่งมีนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี

**อำมาตย์-ข้าทาสตระกูลชิน รวยเอาๆ

ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากลำบนจากภาวะข้าวยากหมากแพงของคนทั้งแผ่นดิน ดูเหมือนว่าบรรดาอำมาตย์เสื้อแดงทั้งเบื้องสูงและเบื้องต่ำจะมีชีวิตในทิศทางตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว

ใช้ชีวิตล่องล่อยอยู่ในคฤหาสน์หรูหรา สวมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเครื่องประดับแบรนด์เนมราคาแพงระยับ

ทั้ง นช.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคดีที่ใช้ชีวิตอู้ฟู่เฉกเช่นมหาราชาบินไปบินมาทั่วโลก ทั้งคุณหญิงพจมานที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยเครื่องเพชร สร้อยมุกและกระเป๋าแบรนด์เนมยี่ห้อดัง เช่นเดียวกับนางสาวยิ่งลักษณ์ที่แต่งกายล้ำสมัยด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สุดหรูไม่แพ้ใครบนโลกใบนี้จนแทบไม่มีใครเคยเห็นว่านับตั้งแต่เป็นนายกฯ เธอเคยใส่เสื้อผ้าซ้ำกันบ้างหรือไม่

หรือดูอย่าง 2 ผัวเมียข้าวใหม่ปลาใหม่ “น้องเอม-พินทองทา ชินวัตร กับ “พี่พงศ์-ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์” นั่นปะไรที่เปิดเรือนหอระดับคฤหาสน์ที่วังจันทร์ส่องหล้าให้ “นิตยสาร Hello” ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 (8 มีนาคม 2555) บันทึกความมีอันจะกินไว้ยั่วน้ำลายไพร่ไส้แห้งให้นึกอิจฉา

เห็นเสื้อผ้า หน้าผมของทั้งคู่ และข้าวของที่ประดับตกแต่งสไตล์เซนเอาไว้ในเรือนหอของคนทั้งคู่แล้ว บอกได้คำเดียวว่า “โคตรรวยเว้ยเฮ้ย”

ยกตัวอย่างเช่นภาพที่นิตยสาร Hello บันทึกความรักอันดูดดื่มของทั้งคู่บริเวณริมสระหน้าหน้าเรือนหอ โดยน้องเอมสวมชุดแซ็กสีครีมของ Phillip Lim สวมรองเท้าแบรนด์ดังที่คนรวยเท่านั้นที่จะมีสิทธิครอบครองอย่าง Jimmy Choo

ส่วนอีกภาพเป็นภาพของทั้งคู่ที่มุมภายในบ้าน โดยทั้งพี่พงศ์และน้องเอมอยู่ในชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ของ Head Quarter โดยสวมรองเท้ายี่ห้อดัง Christain Louboutin

ยิ่งเมื่อได้เห็นทั้งคู่บอกเล่าเรื่องราวหนหลังเมื่อครั้งที่พี่พงศ์ตัดสินใจของน้องเอมด้วยแล้วยิ่งน่าอิจฉา เพราะทั้งสถานที่และแหวนที่พี่พงศ์เป็นผู้เลือกล้วนแล้วแต่สะท้อนรสนิยมของคนระดับมหาเศรษฐีได้เป็นอย่างดี

พี่พงศ์ตัดสินใจจอง Continental Hotel บูติคโฮเต็ลที่อยู่ใน Hotel Colllection ของแบรนด์ดัง Ferragamo ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เป็นสถานที่ขอน้องเอมแต่งงาน โดยมีแหวน CARTIER วงเล็กๆ เป็นสักขีพยานแสดงความรักของคนทั้งสอง

ขณะที่วันฉลองมงคลสมรสซึ่งจัดขึ้นที่ห้องแอทธินี คริสตัล ฮอลล์ โรงแรมพลาซ่า แอทธินี รอยยัลเมอริเดียน น้องเอมงามเฉิดฉันในชุดวิวาห์เกาะอกของ Vera Wang สวมแหวนหมั้นเพชรเดี่ยว 5 กะรัต น้ำ D Color ขณะที่พี่โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร เสี่ยวอยซ์ทีวีที่ขี่เฟอร์รารี่ก็ตัดสินใจควักเศษเงินในกระเป๋าซื้อ รถมินิสี่ประตู เป็นของขวัญให้คู่บ่าวสาว

หลังเสร็จพิธีทั้งคู่บินไปฮันนีมูนที่มัลดีฟส์ ตามต่อด้วยกรุงปราก และกรุงเวียนนาจากนั้นบินไปนับถอยหลังปีใหม่กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ยุโรป

ขณะที่บรรดาข้าทาสของตระกูลชินก็ดูเหมือนจะอู้ฟู้และร่ำรวยไม่แพ้ผู้เป็นนายเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากการที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.oรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เพิ่งปรับ ครม.เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2555 และกรณีพ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2555 หรือ “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2”
 

ทั้งนี้ จากการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน “ครม.ยิ่งลักษณ์ 2” ครั้งนี้ พบว่า นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากที่สุดในบรรดารัฐมนตรีหน้าใหม่ โดยมีมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 137,563,433.04 บาท ที่ส่วนมากเป็นของคู่สมรส

ส่วนรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่มีทรัพย์สินน้อยที่สุด คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากอย่างเดียว 382,797.96 บาท ไม่มีหนี้สิน

ขณะที่ นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,959,066.06 บาท ประกอบด้วยเงินฝาก 2.6 ล้านบาท เงินลงทุน 14 ล้านบาท ที่ดิน 5.9 แสนบาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 4.5 แสนบาท สิทธิและสัมปทาน 1 ล้านบาท มีหนี้สินเพียง 7.7 หมื่นบาท

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง มีทรัพย์สิน 16,263,953,03 บาท ประกอบด้วยทรัพย์สินที่เป็นเงินฝาก ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ยานพาหนะรวม 16 กว่าล้านบาท เป็นของภรรยาและบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 7 กว่าล้านบาท แต่มีหนี้สิน 7.6 ล้านบาท

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม มีทรัพย์สิน 17,866,358 บาท นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม มีทรัพย์สิน 50,531,762 บาท นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน มีทรัพย์สิน 82,049,173 บาท นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 30,381,378 บาท นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สิน 19,825,482 บาท ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม มีทรัพย์สิน 41,431,459 บาท

สำหรับรัฐมนตรีหน้าเก่าที่ปรับย้ายมารับตำแหน่งใหม่ ปรากฏว่า พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากสุด คือ 380,789,887 บาท ส่วน รัฐมนตรีท่านอื่นๆ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง มีทรัพย์สิน 60,485,623 บาท นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สิน 24,567,462 บาท

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม มีทรัพย์สิน 49,420,434 บาท นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สิน 15,180,681 บาท นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข มีทรัพย์สิน 101,374,666 บาท

เห็นความร่ำรวยอู้ฟู่และการใช้ชีวิตเยี่ยงมหาราชของอำมาตย์และข้าทาสตระกูลชินแล้ว อดนึกสงสารประชาชนคนไทยที่ไม่มีจะกิน หรือต้องทนทุกข์อยู่กับภาวะข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนคนเสื้อแดงที่เลือกคนเหล่านี้เข้ามาบริหารประเทศ

คนเสื้อแดงจะรู้บ้างหรือไม่ว่า มหาอำมาตย์และตระกูลชินที่พวกเขาพร้อมจะต่อสู้โดยเสียสละทั้งชีวิตและเลือดเนื้อให้นั้น กำลังเสวยสุขอยู่บนกองเงินกองทองและมีความสุขสบายโดยที่ไม่ตระหนักนึกถึงบุญคุณของคนยากไร้ที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อเลยแม้แต่น้อย
พินทองทาและณัฐพงศ์ ที่ริมสระน้ำหน้าเรือนหอ โดยน้องเอมสวมชุดแซ็กสีครีมของ Phillip Lim สวมรองเท้าแบรนด์ดังที่คนรวยเท่านั้นที่จะมีสิทธิครอบครองอย่าง Jimmy Choo
พี่พงศ์และน้องเอมอยู่ในชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้ของ Head Quarter โดยสวมรองเท้ายี่ห้อดัง Christain Louboutin
ทั้งสองคนถ่ายรูปคู่กับ รถมินิสี่ประตู ที่พี่โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร ควักเศษเงินในกระเป๋าซื้อเป็นของขวัญให้
ไปฮันนีมูนตามประสามหาเศรษฐีช่วงคริสต์มาสที่กรุงปราก
นั่งรถจากปรากต่อไปที่เวียนนา
ความน่ารักน่าชังของคู่บ่าวสาวมหาเศรษฐีขณะไปฮันนีมูนที่ Huvafen Fushi Maldives
รังรักของทั้งคู่ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีในสไตล์เซน
รถเบนท์ลีย์สีชมพูของ ร.ต.อ.เฉลิมราคาร่วม 25 ล้านบาท และมีเพียง 2 คันในโลก โดยอีกคันหนึ่งเป็นของปารีส ฮิลตัน
นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่สวมใส่เสื้ออาภรณ์และเครื่องประดับระดับโลก
นช.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน วันนี้ยังคงใช้ชีวิตเฉกเช่นมหาราชา ทั้งเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์เนมระดับโลกทั้งสิ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น