ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เนื่องจากวันดีคืนดีก็เกิดการเด้งฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เมื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโยกย้าย นางพนิตา กำภู ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ไปนั่งตบยุงในเก้าอี้ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมกับแต่งตั้งนายวิเชียร ชวลิต ที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
ทั้งนี้ เมื่อข่าวนี้ออกมาก็ทำเอาคอการเมืองคิดไปต่างๆ ว่าเป็นปฏิบัติการล้างบางของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วยหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ ก็ไล่รื้อข้าราชการระดับสูง ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายถวิล เปลี่ยนสี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ฯลฯ
ทว่า ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นศึกสายเลือดของพรรคเพื่อไทย เพราะเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า นางพนิตา กำภูนั้นเป็นพี่สาวของ นายประวัฒน์ อุตตะโมต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ว่ากันว่า หลังที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้ผู้เป็นพี่สาวเด้งพ้นตำแหน่งปลัด พม.ก็ทำเอานายนายประวัฒน์ ทนไม่ไหวระเบิดอารมณ์หลังจากรับรู้ข่าวเลยทีเดียว
นายประวัฒน์ไม่พอใจถึงขนาดชี้หน้าต่อว่านายสินติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หลังจากการประชุมพรรคเพื่อไทยกันเลยทีเดียว
“ท่านสันติรู้ไหมว่า เป็นพี่สาวผม ถ้าท่านไม่ให้เกียรติ ผมก็จะไม่ให้เกียรติท่านเช่นกัน”
นั่นคือถ้อยคำดุเดือดที่ออกมาจากปากของนายประวัฒน์
นอกจากนั้น สื่อหลายฉบับได้รายงานตรงกันว่า นายประวัฒน์ได้ต่อว่านายสันติอย่างดุเดือดด้วยภาษาพ่อขุนรามคำแหงและเกือบวางมวยกัน สร้างความตกใจแก่ผู้เข้าร่วม ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้พยายามไกล่เกลี่ยโดยขอร้องให้ใจเย็น ๆ และค่อย ๆ พูดคุยกัน ก่อนจะเลี่ยงด้วยการเดินออกจากห้องประชุมไปก่อนที่การพูดคุยจะแล้วเสร็จ
ว่ากันว่า หลังจากเกิดเหตุนายประวัฒน์หวิดวางมวยกับนายสันติ นายประวัฒน์ยังได้โทรศัพท์ไปฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ขณะนี้พำนักอยู่ที่ประเทศกัมพูชา และบอกว่า พี่สาวมีข้อมูลเรื่องความพยายามที่จะล้มการก่อสร้างอาคาร พม.อย่างไม่โปร่งใสอยู่ในมือจำนวนมาก และพี่สาวจะนำเรื่องนี้ออกมาเปิดเผย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการโยกย้ายครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม นายประวัฒน์ก็ยังได้พูดกับเพื่อน ส.ส.และคนใกล้ชิดว่า จะไม่ยอมเรื่องนี้เด็ดขาด จะเล่นงานให้ถึงที่สุด และเชื่อว่า รมต.อยู่ไม่ได้แน่
จากนั้นนายประวัฒน์ ก็ปฏิบัติการชำระแค้นให้กับพี่สาวอย่างต่อเนื่องด้วยการออกมาแฉทิ้งระเบิดลูกใหญ่ ทันทีว่า สาเหตุที่พี่สาวโดนย้ายทราบมาว่า เกิดจากคณะที่ปรึกษาซึ่งเป็นข้าราชการที่อยู่ในกระทรวงพม. หรือที่รู้จักกันในชื่อ “แก๊งออฟโฟร์แห่งกระทรวงพม.”
“แก๊งออฟโฟร์ เป็นแก๊งในกระทรวง จ้องล้มท่านปลัดอยู่ พยายามจะเลื่อยขาตั้งแต่วันแรก และแก๊งค์ออฟโฟร์คือทีมที่ปรึกษาของนายสันติ เป็นที่ปรึกษาข้าราชการ ณ วันนี้ก็ตั้งวอร์รูมอยู่ในกระทรวง สามารถไปเช็คได้ว่าเป็นใครบ้าง เป็นข้าราชการในกระทรวงพัฒนาสังคมฯ แล้วไปเป็นวอร์รูมให้กับนายสันติ เขาจ้องที่จะเด้งพี่สาวผมออกจากกระทรวงตั้งแต่ 2-3 เดือนแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง”นายประวัฒน์แฉข้อมูล
ขณะเดียวกันเมื่อข้ามฝากไปฝั่งของนายสันติ พร้อมพัฒน์ และส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ก็ได้ออกมาให้เหตุผลด้วยการอ้างเหตุของการย้ายครั้งนี้ไว้ว่า เป็นการย้ายตามการชี้มูลของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) กรณีที่มีการใช้เงินผิดประเภท เมื่อครั้งที่นางพนิตนั่งเก้าอี้อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นอกจากสั่งย้ายแล้ว นายสันติก็ยังได้ฝากแผลไว้กับนางพนิตา ด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยโดยมีนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดประจำสำนักนายกฯ เป็นประธาน
นั่นคือเหตุผลที่นายสันติอธิบายถึงการโยกย้ายในครั้งนี้
แต่ในทางกลับกัน หากโฟกัสไปทางนางพนิตาแล้ว ดูเหมือนจะกลับกลายเป็นหนังคนละม้วนกันเลยทีเดียว
นางพนิตาได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวสู้ยิบตาด้วยการเปิดเผยว่า “ในสมัยนายอิสสระ สมชัย เป็นรมว.พม. ทางสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ได้แจ้งผลการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินของกรมประชาสงเคราะห์(กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการในปัจจุบัน) ประเภทเงินนอกงบประมาณ เรื่องระเบียบการจ่าย การเก็บ และการรักษาเงินบางประเภท ที่กรมประชาสงเคราะห์ได้รับ โดยทาง สตง.ได้แจ้งให้นายอิสสระ รมว.พม.ขณะนั้น ให้ดำเนินการทางวินัยกับปลัดพม.ขณะนั้น (นายวัลลภ พลอยทับทิม) อธิบดี (นางพนิตา ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น) และผู้ที่เกี่ยวข้องในการเบิกจ่าย รวมทั้งเรียกเงินคืนจำนวนประมาณ 32 ล้านบาท ซึ่งทางนายอิสสระได้มีหนังสือตอบตามข้อสังเกตของพม.แล้ว โดยเห็นว่ากรณีตามข้อสังเกตของ สตง. ทางกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการได้พิจารณากลั่นกรองเป็นอย่างดีแล้ว ในการเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่”
นางพนิตา กล่าวอีกว่า ต่อมา สตง.ได้มีหนังสือลับ ลงวันที่ 25 ส.ค.54 ถึงนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.พม. โดยได้อ้างถึงเรื่องเดิมเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปศึกษาดูงาน ตามที่นายอิสสระ สมชัย ได้ดำเนินงานตามข้อสังเกตไปแล้ว โดยทาง สตง.ได้ยืนยันข้อทักท้วงในการเรียกเก็บเงินคืนคลังและลงโทษทางวินัย ตนจึงได้มอบหนังสือชี้แจ้งกลับไปซึ่งต้องไม่เกิน 60 วัน ให้กับนายสันติ แต่นายสันติก็ไม่ได้ลงนาม อีกทั้งตนยังได้ทราบเป็นการภายในว่านายสันติได้ขยายเวลาในการขอชี้แจงเรื่องดังกล่าวออกไปอีก 60 วัน โดยไม่ได้มีการแจ้งเรื่องมาทางตนเลย
“ดิฉันก็ได้ทำหนังสือชี้แจ้งกลับไปอีกครั้งพร้อมข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้นายสันติลงนามก่อนส่งให้ สตง. แต่จนถึงขณะนี้หนังสือดังกล่าวก็ยังไม่ได้ส่งหนังสือไปถึง สตง. ซึ่งตนก็กลัวจะเสียสิทธิจึงได้ทำหนังสือส่งไปทางสตง.โดยตรงในวันที่ 31 ม.ค. 55 ซึ่งดิฉันก็เข้าใจว่าตามธรรมเนียมของ สตง.หากไม่มีมูลหรือไม่มีปัญหาอะไรเรื่องก็จะเงียบหายไปเอง ดิฉันจึงสบายใจและไม่ได้ติดตามต่อ”
นางพนิตาเปิดเผยข้อมูลต่อไปอีกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมนายสันติไม่ยอมเซ็นต์ลงนามทั้ง 2 ครั้ง และยังตั้งกรรมการสอบสอนตนเอง พร้อมทั้งให้ข่าวเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งทำให้เสื่อมเสีย จึงต้องดำเนินการฟ้องหมิ่นประมาท แต่พอเมื่อวันที่ 9 มี.ค.55 นายสันติได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัย แล้วได้นำเรื่องนี้มาย้ายตนเองในวันที่ 13 มี.ค. ซึ่งรวดเร็วมากสมกับที่รัฐบาลจะสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง และเป็นการรังแกข้าราชการด้วยการสั่งย้ายแบบสายฟ้าแลบ อีกทั้งเรื่องการสอบวินัยดังกล่าว ตนเองได้ติดต่อไปที่สตง.ในวันที่ 13 มี.ค.55 โดยมีหนังสือลับด่วน ลงวันที่ 14 มี.ค.55 ว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ขอเรียนว่าเรื่องการใช้จ่ายเงินกรณีปัญหาดังกล่าว เป็นข้อโต้แย้งทางกฎหมายในเรื่องการใช้ดุลยพินิจของอธิบดีกรมประชาสงเคราะห์(นางพนิตาดำรงตำแหน่งขณะนั้น) ส่วนกรณีแจ้งให้ดำเนินการทางวินัยกับปลัดพม. เนื่องจากได้ร่วมเดินทางไปด้วย เป็นการให้ดำเนินการกับปลัดพม.ขณะนั้น สำหรับผลการพิจารณาเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบโดยเร็ว
“หากย้อนไปในขณะนั้น ดิฉันไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวง แต่อยู่ในตำแหน่งอธิบดี ซึ่งเป็นการดำเนินการสอบสวนทางวินัยผิดคน ซึ่งดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะว่ายังไงเหมือนกัน แต่ส่วนตัวไม่ได้มีความแค้นกับฝ่ายใด แต่ดิฉันโทษทีมกุนซือของรมต.ที่ให้ข้อมูลเพียงส่วนเดียวกับรมต. เป็นไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง เพื่อหวังผลประโยชน์”นางพนิตาโต้กลับอย่างชนิดไม่ยอมเผาผี
อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาตั้งข้อสังเกตถึงการโยกย้ายครั้งนี้ก็คือ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ พม.วงเงิน 1,290 ล้านบาท ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า นางพนิตาไปขวางทางปืนงบสร้างตึกกระทรวงแห่งใหม่ มูลค่านับพันล้านบาท ซึ่งฝ่ายการเมืองกดดันให้เปิดประมูลใหม่ทั้งที่มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว โดยนางพนิตาจะยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรม ให้เพิกถอนคำสั่ง ครม. หากการประชุม วันที่ 20 มีนาคมนี้ ไม่พิจารณาเพิกถอน จะยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค. ต่อไป
สุดท้ายเรื่องนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะจบลงอย่างไร ซึ่งก็คงต้องบอกว่า นางพนิตาก็เจอตอยักษ์เช่นกัน เพราะจะว่าไปแล้ว นายสันติเองก็สนิทชิดเชื้อ กับ "เฮียเพ้ง"พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล สายตรงดูไบอีกคนหนึ่ง แต่เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็นับว่าเป็นโชคดีของประชาชนที่นางพนิตาได้ออกมาสาวไส้ โยงใย เรื่องผลประโยชน์ และอาจได้รู้ว่าใครมีส่วนได้ประโยชน์โครงการนี้อย่างไร แถมยังตอกย้ำให้เห็นภาพการเมืองไทยแบบชัดเจนอีกครั้งหนึ่งว่า เรื่องผลประโยชน์ ทุจริตคอรัปชั่น ไม่เคยหนีพ้นจากประเทศไทยไปเลยจริงๆ