ASTVผู้จัดการรายวัน - "บิวเดอสมาร์ท" ปรับโครงสร้างกลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งภายใน โฟกัส 3 ธุรกิจหลัก Gypsum, Alloy และ Fletcher วางเป้าหมาย 3 ปี อัตราเติบโตของรายได้ในประเทศปีละ 20% ขยายตลาดออกทั่วประเทศ พร้อมลุยตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าโตปีละ 50% ปักธงตลาดอินเดียและตลาดในกลุ่ม AECโดยเฉพาะพม่า และกัมพูชา ยังมีความต้องการกลุ่มสินค้า Alloy และ Fletcher ในระดับสูง
นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM หนึ่งในผู้นำบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งภายในคุณภาพสูงแบบครบวงจร เปิดผยว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในการบริหารธุรกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลักแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผลิตภัณฑ์ระบบกระจกอลูมิเนียมผนังกั้นห้อง (ALLOY Partitioning Systems) 2) ผลิตภัณฑ์ระบบยิปซั่มครบวงจร (Gypsum Wall & Ceiling Systems) 3) ผลิตภัณฑ์ระบบประตูหน้าต่าง (Fletcher Door & Window Systems)
โดยจากการปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อรองรับความต้องการบริโภคสินค้าที่เพิ่มขึ้น คาดว่าในระยะ 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ปีละ 20% โดยตั้งเป้าปี 2555 บริษัทจะมีรายได้ 400 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 20% จากรายได้ในปี 2554 ที่มีรายได้ 337.5 ล้านบาท จากตลาดในประเทศ โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการขยายงานที่เพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของ ผลิตภัณฑ์อัลลอยด์ระบบกระจกอลูมิเนียมผนังกั้นห้อง บริษัทจะขยายกลุ่มไปยังผู้ออกแบบรายย่อย การขยายตลาดไปยังกลุ่ม ธนาคารและโรงพยาบาล รวมถึงการเพิ่มทีมขาย เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดมากขึ้น
“การปรับปรุงพื้นที่ในอาคารเฉพาะพื้นที่ในกรุงเทพยังมีอยู่มาก ตลาดอัลลอยด์จึงขึ้นอยู่กับพื้นที่อาคาร ปัจจุบันพื้นที่การใช้งานในอาคารสำนักงานอยู่ที่ 1 ล้านตารางเมตร โดยแต่ละปีจะมีการปรับปรุงการใช้พื้นที่อาคารประมาณ 7-8 แสนตารางเมตรและ เมื่อรวมกับพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 แสนตารางเมตรต่อปี การใช้ผลิตภัณฑ์อัลลอยด์จึงยังมีความต้องการใช้อยู่มากถึง 1 ล้านตารางเมตรต่อปี ”นายสัญชัยกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ระบบยิปซั่มครบวงจร จะขยายตลาด โดยการนำเสนอไปยังกลุ่มผู้ประกอบการทั้งตัวสินค้าและการติดตั้งผ่านทางบริษัทย่อย คือ อินสตอลไดเร็ค โดยเฉพาะตลาดนี้กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ส่วนผลิตภัณฑ์ระบบประตูหน้าต่างนั้นจะทำการรุกตลาดด้วยการนำเสนอตรงไปยังเจ้าของโครงการและผู้ประกอบการมากขึ้น โดยสินค้าตัวใหม่ที่มาผลักดันการขายมากขึ้น คือ Fletcher Commercial เน้นในกลุ่มคอนโด และ ทาวเฮาส์
นายสัญชัย กล่าวถึงการทำตลาดต่างประเทศว่า จะให้ความสำคัญ โดยคาดหวังอัตราการการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้าปีละ 50% ต่อปี เนื่องจากเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นที่โดดเด่น และเพื่อรองรับการเปิดเสรีของเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เชื่อมั่นว่าบิวเดอสมาร์ท อินเดีย จะเป็นบริษัทลูกที่ขับเคลื่อนธุรกิจหลัก โดยกลุ่มสินค้า Alloy และ Fletcher ที่จะผลักดันให้ยอดขายโต ดังนั้น บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจต่างประเทศในปีนี้ที่ 60 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีรายได้จากธุรกิจต่างประเทศ 40 ล้านบาท โดยบริษัทจะพัฒนาศักยภาพของ Dealer ที่แต่งตั้งไว้แล้ว และแต่งตั้ง Dealer ในแถบภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น
สำหรับรายได้ของ บริษัท บิวเดอสมาร์ทฯ ในปี 2554 บริษัทมีรายได้ 377.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 425.2 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 14.9 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศต่อตลาดต่างประเทศ ในปี 2554 เท่ากับ 89%:11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามีสัดส่วน 95%:5%
“ยอดขายตลาดในประเทศลดลง 16% เนื่องจากเน้นการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักมากขึ้น ในส่วนตลาดต่างประเทศมียอดขายเพิ่มขึ้น 75% โดยเฉพาะประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการเน้นตลาดในต่างประเทศ และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์นั่นเอง”นายสัญชัยกล่าว.
นายสัญชัย เนื่องสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวเดอสมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ BSM หนึ่งในผู้นำบริษัทผู้ดำเนินธุรกิจและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งภายในคุณภาพสูงแบบครบวงจร เปิดผยว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในการบริหารธุรกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์หลักแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) ผลิตภัณฑ์ระบบกระจกอลูมิเนียมผนังกั้นห้อง (ALLOY Partitioning Systems) 2) ผลิตภัณฑ์ระบบยิปซั่มครบวงจร (Gypsum Wall & Ceiling Systems) 3) ผลิตภัณฑ์ระบบประตูหน้าต่าง (Fletcher Door & Window Systems)
โดยจากการปรับโครงสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจน เพื่อรองรับความต้องการบริโภคสินค้าที่เพิ่มขึ้น คาดว่าในระยะ 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะมีอัตราการเติบโตของรายได้ปีละ 20% โดยตั้งเป้าปี 2555 บริษัทจะมีรายได้ 400 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 20% จากรายได้ในปี 2554 ที่มีรายได้ 337.5 ล้านบาท จากตลาดในประเทศ โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการขยายงานที่เพิ่มมากขึ้น โดยในส่วนของ ผลิตภัณฑ์อัลลอยด์ระบบกระจกอลูมิเนียมผนังกั้นห้อง บริษัทจะขยายกลุ่มไปยังผู้ออกแบบรายย่อย การขยายตลาดไปยังกลุ่ม ธนาคารและโรงพยาบาล รวมถึงการเพิ่มทีมขาย เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดมากขึ้น
“การปรับปรุงพื้นที่ในอาคารเฉพาะพื้นที่ในกรุงเทพยังมีอยู่มาก ตลาดอัลลอยด์จึงขึ้นอยู่กับพื้นที่อาคาร ปัจจุบันพื้นที่การใช้งานในอาคารสำนักงานอยู่ที่ 1 ล้านตารางเมตร โดยแต่ละปีจะมีการปรับปรุงการใช้พื้นที่อาคารประมาณ 7-8 แสนตารางเมตรและ เมื่อรวมกับพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 2 แสนตารางเมตรต่อปี การใช้ผลิตภัณฑ์อัลลอยด์จึงยังมีความต้องการใช้อยู่มากถึง 1 ล้านตารางเมตรต่อปี ”นายสัญชัยกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของผลิตภัณฑ์ระบบยิปซั่มครบวงจร จะขยายตลาด โดยการนำเสนอไปยังกลุ่มผู้ประกอบการทั้งตัวสินค้าและการติดตั้งผ่านทางบริษัทย่อย คือ อินสตอลไดเร็ค โดยเฉพาะตลาดนี้กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ส่วนผลิตภัณฑ์ระบบประตูหน้าต่างนั้นจะทำการรุกตลาดด้วยการนำเสนอตรงไปยังเจ้าของโครงการและผู้ประกอบการมากขึ้น โดยสินค้าตัวใหม่ที่มาผลักดันการขายมากขึ้น คือ Fletcher Commercial เน้นในกลุ่มคอนโด และ ทาวเฮาส์
นายสัญชัย กล่าวถึงการทำตลาดต่างประเทศว่า จะให้ความสำคัญ โดยคาดหวังอัตราการการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้าปีละ 50% ต่อปี เนื่องจากเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้นที่โดดเด่น และเพื่อรองรับการเปิดเสรีของเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เชื่อมั่นว่าบิวเดอสมาร์ท อินเดีย จะเป็นบริษัทลูกที่ขับเคลื่อนธุรกิจหลัก โดยกลุ่มสินค้า Alloy และ Fletcher ที่จะผลักดันให้ยอดขายโต ดังนั้น บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจต่างประเทศในปีนี้ที่ 60 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีรายได้จากธุรกิจต่างประเทศ 40 ล้านบาท โดยบริษัทจะพัฒนาศักยภาพของ Dealer ที่แต่งตั้งไว้แล้ว และแต่งตั้ง Dealer ในแถบภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น
สำหรับรายได้ของ บริษัท บิวเดอสมาร์ทฯ ในปี 2554 บริษัทมีรายได้ 377.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 425.2 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 14.9 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศต่อตลาดต่างประเทศ ในปี 2554 เท่ากับ 89%:11% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ามีสัดส่วน 95%:5%
“ยอดขายตลาดในประเทศลดลง 16% เนื่องจากเน้นการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักมากขึ้น ในส่วนตลาดต่างประเทศมียอดขายเพิ่มขึ้น 75% โดยเฉพาะประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผลสำเร็จจากการเน้นตลาดในต่างประเทศ และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกลุ่มผลิตภัณฑ์นั่นเอง”นายสัญชัยกล่าว.