xs
xsm
sm
md
lg

ปี55คอนโดฯ-อาคารสูงทะลัก"ยิปรอค"หันเจาะตลาดแนวราบรับมือ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – "ยิปรอค" ยอมรับถูกรายเล็กแย่งแชร์ตลาดล่าง ปรับแผนหนีผลิตกรีนโปรดักส์เจาะตลาดบน ขณะที่คาดว่าอาคารสูงแนวโน้มชะลอตัวหนักหลังสินค้าเหล่านี้สร้างเสร็จทะลักตลาดในปี 55 ส่งผลผู้ประกอบการชะลอลงทุน พร้อมเตรียมรับมือเจาะกลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบแทน พร้อมจับมือตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายต่อเนื่อง เชื่อผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างตรึงราคาสินค้าแม้ต้นทุนพุ่งตามราคาน้ำมัน หวังรักษายอดขาย

นายวิรัตน์ พนมชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างแบรนด์ “ยิปรอค” กล่าวว่า ในปี 2553 ที่ผ่านมาตลาดก่อสร้างในประเทศมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีมาก แม้ว่าในช่วงต้นปีจะได้รับผลกระทบจากปัญหาความรุนแรงทางการเมืองทำให้เกิดการชะงักงัน ของกลุ่มธุรกิจก่อสร้าง โครงการที่อยู่อาศัย ออฟฟิศ และงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ แต่ภายหลังจากปัญหาการเมืองคลี่คลายลงในครึ่งปีหลังภาคก่อสร้างมีการขยายการลงทุนจำนวนมากทำให้ตลาดก่อสร้างโดยรวมกลับมาขยายตัวอย่างมากในช่วงไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 ส่งผลให้ในปี 53 ตลาดก่อสร้างในประเทศมีการขยายตัวสูง 5-10%

ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทมีการขยายตัวตามธุรกิจก่อสร้าง เนื่องจากมีความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างในกลุ่มแผ่นยิปซั่มฝ้า- ผนังยิปซั่มงานก่อ และงานฉาบ เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้มียอดสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 2,500 ล้านบาทขยายตัวจากปีก่อหน้า3-4% ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวของตลาดอยู่เล็กน้อย

ทั้งนี้สาเหตุที่ยอดขายของบริษัทต่ำกว่าการเติบโตของตลาดรวมก่อสร้าง เนื่องจากถูกผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย หรือ เอสเอ็มอี เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดวัสดุก่อสร้างประเภทแผ่นผนังและฝ้า ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะตลาดระดับล่างทำให้ยอดขายในตลาดดังกล่าวของบริษัทหายไป

“ในช่วงก่อนหน้านี้ผู้ประกอบการรายย่อยใช้วิธีนำเข้าแผนฝ้าและผนังราคาถูกจากจีนเข้ามาทำตลาดในไทย ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดส่วนนี้หายไปบางส่วน จนกระทั่งในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการเหล่านี้นำเข้าเครื่องจักรขนาดเล็กมาผลิตเองโดยเน้นเรื่องราคาเป็นหลักทำให้บริษัทถูกแย่งแชร์ในตลาดล่างไปเป็นจำนวนมาก”

นายวิรัตน์ กล่าวว่า การเข้ามาแข่งขันของผู้ประกอบการรายย่อยนั้นหากแข่งกันด้วยคุณภาพของสินค้านั้น จะไม่ส่งผลต่อบริษัท แต่กลุ่มรายย่อยและรายเล็กดังกล่าวใช้กลยุทธ์ราคาเข้ามาใช้ โดยขายถูกกว่าสินค้าของบริษัทถึง 20% ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถขายสินค้าได้ถูกว่า ด้วยการผลิตสินค้าที่มีความหนาน้อยกว่าสินค้าของบริษัท และไม่ได้รับการรับรองจาก มาตรฐานผลิตภัฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ต่ำกว่าสินค้าของบริษัทค่อนข้างมาก

“แผ่นยิปซั่ม ฝ้าและผนังตลาดล่างนั้น มีมาจิ้น (กำไร) ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ดังนั้นในปีนี้บริษัทจึงไม่เน้นไปที่ตลาดดังกล่าว ขณะเดียวกันในปี 2554 นี้บริษัทจะหันไปเน้นเจาะกลุ่มตลาดระดับบนมากขึ้น โดยสินค้าที่จะใช้เจาะกลุ่มดังกล่าวจะเป็นสินค้าในกลุ่มกรีนโปรดักส์ ซึ่งสามรถสร้างมูลค่าเพิ่มได้” นายวิวัฒน์กล่าว

สำหรับแผนตลาดในปีนี้บริษัทจะเน้นเพิ่มสัดส่วนสินค้าในตลาดบน และกลุ่มที่อยูอาศัยแนวราบมากขึ้น จากเดิมที่เน้นตลาดอาคารสูงประเภท คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน และงานโครงการขนาดใหญ่ หรืออาคารหน่วยงานราชการ แต่เนื่องจากตัวเลขโครงการอาคารสูงประเภทคอนโดมิเนียมในปี 53 ที่ผ่านมามีการขยายตัวสูงมาก ซึ่งในช่วงปี 2555 อาคารเหล่านี้จะสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดในปี 2555 ส่งผลให้มีสต๊อกคอนโดฯค้างอยู่ในตลาดจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการชะลอการลงทุน

“ในปี 54 นี้ งานก่อสร้างและความต้อการใช้วัสดุก่อสร้างในตลาดอาคารสูงจะยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะจะมีการก่อสร้างโครงการที่เกิดในปี 2553 และปี 54 ซึ่งจะเริ่มทยอยแล้วเสร็จในปี 2555 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้มีซับพลายในตลาดเหลืออยู่ค่อนข้างมากและส่งผลให้ตลาดอาคารสูงหดตัวในขณะที่บ้านแนวราบจะกลับมาขยายตัวดังนั้นเพื่อรับมือตลาดระยะยาวบริษัทจึงมีแผนเพิ่มสัดส่วนยอดขายในกลุ่มตลาดแนวราบเพิ่มขึ้น”

ทั้งนี้ การเพิ่มสัดส่วนยอดขายในกลุ่มตลาดแนวราบนั้นบริษัทจะเน้นการขยายตลาด ผ่านกลุ่มตัวแทนจำหน่ายของบริษัทที่กระจ่ายอยู่ทั่วประเทศ จะไม่เน้นการขายเข้าโครงการโดยตรง เพราะจะเป็นการทำตลาดแข่งกับตัวแทนจำหน่ายของบริษัท ในขณะเดียวกันก็จะร่วมกับตัวแทนจำหน่ายจัดแคมเปญการตลาด และกระตุ้นยอดขายให้เติบโตมากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเติบโตของยอดขายที่ 5-10% หรือประมาณ 2,625-2,750 ล้านบาท

สำหรับกรณีการปรับราคาวัสดุก่อสร้างในปีนี้นั้น คาดว่าผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างส่วนใหญ่จะยังคงตรึงราคาขายไว้ แม้ว่าแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นจะส่งผลต่อการปรับตัวขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง แต่การแข่งค่าของเงินบาท ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออก และการปรับตัวของอัตราเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มการปรับตัวต่อเนื่องส่งผลให้กำลังซื้อของลูกค้าลดลง ทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าปรับขึ้นราคา เพราะจะส่งผลต่อยอดขายของแต่ละบริษัท ดังนั้นจึงเชื่อว่าผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างจะยังไม่ขยับราคาขึ้น แม้ว่าจะต้องแบกต้นทุนไว้เองเพื่อรักษายอดขาย
กำลังโหลดความคิดเห็น